ระลึกนึกถึงความตาย


ระลึกนึกถึงความตาย
กลัวก็ต้องตาย ไม่กลัวก็ต้องตาย ทุกคนล้วนตายหมด และก็เคยตายกันมาแล้วทั้งนั้น ความตายเป็นสิ่งที่เราจะต้องนำมาคิด คิดถึงความตายวันละนิด จิตแจ่มใส เพราะจะทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างถูกวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ จะไม่ประมาท จะสั่งสมบุญอยู่ตลอดเวลา จะไม่คร่ำครวญเมื่อชีวิตลำเค็ญ เพราะรู้ว่า เราจะลำเค็ญอยู่ในโลกมนุษย์ไม่กี่ปี ก็ตายแล้ว โดยเฉพาะอายุขัยเฉลี่ยมนุษย์ในยุคนี้แค่ ๗๕ ปี 


             เพราะฉะนั้น ลำเค็ญก็ลำเค็ญไม่นาน ยากจนก็ยากจนประเดี๋ยวประด๋าว อย่าไปทุกข์ใจกันเลย สั่งสมบุญกุศลกันไป เราไปเอาดีกันภพเบื้องหน้า ไปศึกษาเรื่องเหตุและผลของการที่เรามาเป็นอยู่ปัจจุบัน ผลที่เราลำเค็ญ ลำบาก อัตคัด เรื่องปัจจัยสี่ เป็นเพราะเราประกอบเหตุไว้ในอดีตคือ ความตระหนี่ หวงแหนเสียดายทรัพย์ ไม่สั่งสมบุญเอาไว้

             โดยเฉพาะเราอาจจะเป็นคนเคยรวย รวยมาก มีทรัพย์มาก พอมีทรัพย์มากใครมาชวนทำบุญ เราก็อาจจะมีความคิดว่า เรารวยขึ้นมาเพราะหนึ่งสมองสองมือ ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น ทำให้เราเกิดมีมานะทิฏฐิ และประมาทในการดำเนินชีวิต เราก็พยายามจะใช้ทรัพย์นั้นเพื่อแสวงหาทรัพย์และแสวงหาความสุขต่อไป คือเราเข้าใจว่าได้มาด้วยฝีมือ แล้วมีทิฏฐิมานะ ใครจะมาเป็นกัลยาณมิตรชักชวนให้ทำความดี ก็จะถือเนื้อถือตัว ไม่ต้อนรับบ้าง ไม่ยอมรับคำแนะนำบ้าง แม้จะต้อนรับทางกายก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่เราประกอบเหตุเอาไว้ เพราะมีความตระหนี่เราจึง มาลำบากลำเค็ญในชาตินี้ เพราะฉะนั้นลำเค็ญ ประเดี๋ยวประด๋าวก็จะหมดเวลาแล้ว สั่งสมบุญกันไปเถอะนะลูกนะ 

             ส่วนใครที่ร่ำรวยก็พึงคิดต่อไป รวยแค่ประเดี๋ยวเดียวเช่นกัน จะรวยกี่แสนล้าน ก็รวยประเดี๋ยวเดียว ก็ต้องตาย แล้วจะรวยแค่ไหนก็ตาม มีบ้านกี่พันหลังก็อยู่ได้ทีละหลัง มีเตียงกี่พันเตียงก็นอนได้ทีละเตียง มีห้องกี่พันห้องก็นอนได้ทีละ ห้อง มีรถกี่พันคันก็นั่งได้ทีละคัน มันทีละคันเท่านั้นเอง ที่เหลือก็ต้องเสียค่าบำรุงดูแลรักษากันไป จ่ายกันไป ได้ปลื้มหน่อยที่ว่า เรามีเหนือกว่าคนอื่น หรือเท่าคนอื่นเขา หรือที่คนอื่นเขาไม่มี ก็แค่นั้น แล้วก็ตาย มัวแต่ปลื้มกันอยู่อย่างนี้ หรือสนุกเพลิดเพลิน เพราะเรามีทรัพย์มาก สนุกสนาน เฮฮากันบ้าง หรือเอาทรัพย์ต่อทรัพย์ มัวแต่ทำมาหากินอย่างเดียว ไม่ได้สั่งสมบุญ เพลินกับสเตทเม้นท์ ดูตัวเลข ขึ้นไปหลักสองแสนกว่าล้าน สามแสน สี่แสนล้าน อะไรต่างๆ ปลื้มไม่กี่ทีก็ตายแล้ว

             ถ้าไม่สั่งสมบุญเอาไว้ สิ่งที่เราสร้างไว้ตอนที่เรามีบุญอยู่เป็นมนุษย์ ถ้าตายตอนนั้น แล้วมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ไม่ได้อยู่ที่เดิม สิ่งที่เราเคยสร้างไว้ ไม่ได้อยู่ที่เดิม เหมือนลูกคนขอทานคนหนึ่ง อดีตเป็นเศรษฐี แต่เป็นคนตระหนี่ ไม่สั่งสมบุญ พอตายแล้ว ได้มาเข้าท้องคนขอทาน พออยู่ในครรภ์มารดา ขนาดขอทาน ยังไม่มีใคร มีอารมณ์ให้ คลอดลูกออกมาพาไปขอทานที่ไหน ก็อด ลำบาก จนกระทั่งโตพอช่วยเหลือตัวเองได้ ก็ส่งกะลาให้ลูก ลูกเอ๋ย นี่คืออุปกรณ์ทำมาหากินของลูก ทีนี้พอถือไป ไปที่ไหนเขาก็ไล่ออกมาอีก แล้วแถมหน้าตาก็อัปลักษณ์เหมือนปีศาจคลุกฝุ่นอย่างนั้น แต่เพิ่งตายหยกๆ พอจะมีบุญระลึกชาติได้ เดินผ่านอดีตบ้านเก่าของตัว จำได้ นี่บ้านของเรา นั่นลูกชายเรา แต่ใครจะไปจำได้ 
เพราะว่าอยู่ในยูนิฟอร์มใหม่ มาในมาดของลูกขอทาน ด้วยร่างกายที่อัปลักษณ์ ประดุจปีศาจคลุกฝุ่นอย่างนั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปใช้ทรัพย์ของตัวในอดีตชาติที่ตัวเคยรวย และสร้างมากับมือ เราจะไปอ้างสิทธิ์ว่า ชาติที่ผ่านมา ฉันเคยอยู่บ้านนี้ สร้างมากับมือ ไม่เชื่อไปดูขุมทรัพย์อะไรต่างๆ อย่างนั้นอย่างนี้สิ ก็ไม่มีใครเชื่อมีแต่จะจับโยนออกจากบ้าน 

             เพราะฉะนั้น ก็แปลว่า รวยก็รวยไม่กี่ปีในเมืองมนุษย์ จึงควรนำทรัพย์ที่เราหามาได้ เอามาเป็นบุญต่อบุญ สมบัติต่อสมบัติกันดีกว่า มาทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่โลก มาสั่งสมบุญ เพราะบุญจะได้เต็มที่ต่อเมื่อทรัพย์นั้นได้มาด้วยการประกอบสัมมาอาชีวะ การจะประกอบอาชีพ เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ ขอให้ได้ปัจจัยสี่ มาเลี้ยงชีวิต จะไปเบียดเบียนใครก็ได้ อย่าคิดอย่างนั้น เพราะว่ามันมีวิบากกรรมรองรับอยู่ เป็นกฎที่ไม่มีใครจะเอาชนะได้ ทุกคนภายในโลกนี้ แม้แต่พระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ก็ยังตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม เทวดาเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ยังตกภายใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น มนุษย์ยังขาดแคลนความรู้ตรงนี้ มามีความรู้ตรงนี้ต่อเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาโปรด จึงเป็นความรู้สากลที่ทุกคนจะต้องศึกษาไว้ เพื่อจะดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง

             เพราะฉะนั้น รวยก็ประเดี๋ยวเดียว อย่าชะล่าใจ สั่งสมบุญเอาไว้ให้ดี และบุญจะต้องได้มาจากทรัพย์ที่ประกอบสัมมาอาชีวะ นี่เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาไว้ แม้ทรัพย์น้อย แต่หัวใจเกินร้อย เลื่อมใสในพระรัตนตรัยก็มีบุญใหญ่ได้ ได้บุญใหญ่ ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ได้ นี่เป็นสิ่งที่ต้องศึกษากัน


สังขาร

สังขาร
กาลเวลา ทำให้คนเราเปลี่ยนไป สังขารไม่เที่ยงจริง ๆ ครีมทากลางวัน ทาก่อนนอน ทาตอนนอนกลางวัน ก็เอาไม่อยู่ เซรุ่ม เซรั่ม เสียเงินซื้อมา ราคาแพง ๆ ใช้เงินซื้อ ต่อเดือน เป็นหมื่น ๆ สุดท้าย ก็จบ ด้วย ฟอมารีน(มีคนซื้อให้อีกต่างหาก) ที่สำคัญ ใช่ว่าคุณจะอยู่ถึงรูปขวามือกันทุกคน ศีล 5 ครบ กันซักนิดนึง ก่อนจะไป จะได้ มีคุณสมบัติสอบปรับวุฒิ เป็นเทวดาได้ เผื่อเขาสรรหา ภายใน(อันนี้มั่ว)  คุณงามความดีเท่านั้นที่ติดตัวเราไปตลอด 

เรื่องจริงของคนฆ่าวัว

เรื่องจริงของคนฆ่าวัว
อาชีพฆ่าสัตว์ ที่เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์  เช่น หมู เป็ด ไก่ วัว ฯลฯ หลายคนบอกว่า  “ไม่บาป” ทั้ง  ๆ ที่เป็นพุทธศาสนิกชน  พูดแบบชาวบ้านว่า มันเกิดมาเพื่อให้คนกินโดยเฉพาะ   แต่ตามหลักของพระพุทธศาสนา ไม่เห็นมข้อยกเว้น ถือว่า ผิดศีลข้อ 1 ว่าด้วย “ปาณาติบาต”  แม้กระทั่งคนที่ไม่จงใจฆ่า แต่บังเอิญไปทำให้มันตายเข้า เช่น เดินไปเหยียบถูก มด แมลง  ทางพระยังสอนให้เรารู้จักอุทิศส่วนกุศลไปให้  เมื่อมีโอกาสทำบุญหรือปฏิบัติธรรมทุกครั้ง  เป็นการขออโหสิกรรม ไม่จองเวรต่อกัน  แต่ถ้าจะถามว่า  ถ้าหากไม่มีมือเพชรฆาตเหล่านี้แล้ว  คนที่ว่าบาป  จะเอาเนื้อสัตว์อะไรมากินได้ จะหาซื้ออาหารเหล่านี้ได้จากที่ไหน มิต้องกินแต่ผักหญ้าหรืออย่างไร

  เรื่องนี้ เคยถามทางพระอยู่เหมือนกัน  คำตอบที่ได้คือ  “ผลย่อมมาจากเหตุ”  เป็นวิบากกรรมจองเวรอย่างหนึ่งในอดีตชาติ ของผู้ที่มีอาชีพนี้โดยเฉพาะ  การปาณาติบาต ซึ่งสัตว์ที่ถูกฆ่า ก็จะจองเวรในชาติต่อ ๆ ไป เป็นวัฏจักรเช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

  ลุงสิงห์  เป็นผู้หนึ่งที่ถือได้ว่ามี  “วิบากกรรม” ในเรื่องนี้  ขณะที่แกเสียชีวิตลง อายุของแก นับได้ประมาณ 60 ปีเศษ  ผมเพิ่งไปร่วมพิธีงานศพของ  ลุงสิงห์ เมื่อสองวันมานี่เอง  แกตายไม่ดีเลย  ผมได้รับการถ่ายทอดคำบอกเล่า จากคนรู้จักและญาติ ๆ ของแก ก่อนที่จะทราบว่า  แกตายไม่ดีอย่างไร  ขอย้อนไปเล่าถึงเมื่อตอนที่ ลุงสิงห์  ยังแข็งแรง  ยังหนุ่มยังแน่นเสียก่อนดีกว่านะครับ

  เมื่อ 30 ปีที่แล้ว  ลุงสิงห์  จัดอยู่ในประเภท  นักเลงขาใหญ่คนหนึ่ง ในย่านบางขุนเทียน ใคร ๆ ก็ยำเกรง  แกจะพกมีดพับติดตัวเป็นอาวุธประจำกาย พร้อมกับปืนพกสั้นลูกโม่ขนาด .38 อีกหนึ่งกระบอก รูปร่างของ ลุงสิงห์ ล่ำสัน บึกบึน มีกล้ามเป็นมัด ๆ  อาชีพหลักของแกก็คือ เป็นคนฆ่าวัวในโรงฆ่าสัตว์แห่งหนึ่ง ต่อมา เสี่ยใหญ่เจ้าของโรงฆ่าสัตว์แห่งนั้น เกิดรักใคร่ เอ็นดู  เพราะเห็นว่า  ลุงสิงห์ เป็นคนขยัน และ มีคนยำเกรงมาก  จึงเรียกใช้ให้เป็นคนขับรถประจำตัว หรือ ติดตามไปในทุกที่หลังจากที่เสร็จภาระกิจประจำวัน  โดยสลับกับคนขับรถอีกคนหนึ่ง  ซึ่งถือว่า ลุงสิงห์  เป็นมือปืนคุ้มกันประจำตัวด้วย

  ลุงสิงห์ เคยเล่าถึงกรรมวิธีการฆ่าวัว ฟังแล้วสยดสยอง มีการใช้ค้อนขนาดใหญ่ ทุบหัว หรือ กกหู ใช้เหล็กแหลมที่คมกริบ แทงเข้าที่บริเวณลำคอ  เสียงร้องโหยหวนของสัตว์เหล่านั้น เมื่อเกิดพลาดเป้าไม่ตายในทันที แสดงถึงความเจ็บปวด  ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส  วัวบางตัวมีความเฉลียวฉลาดใกล้มนุษย์ เมื่อรู้ตัวว่า กำลังจะตาย น้ำตาไหลพลูออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้างอย่างเห็นได้ชัด  ลุงสิงห์ เล่าให้ฟังโดยไม่รู้สึกอาการสะทกสะท้าน หรือ เศร้าสลดใจกับการกระทำของตนเองแต่อย่างใด แกบอกว่า สัตว์เหล่านี้ เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์โดยเฉพาะ 

  แต่แล้ว สัญญาณที่ส่อเค้าให้ทราบว่า  ลุงสิงห์ จะตายไม่ดี หรือ ไปสู่ทุกข์คติอย่างแน่นอน  หากต้องเสียชีวิตลงเมื่อไร  ก็เกิดขึ้นในคืนหนึ่ง เสี่ยใหญ่เจ้าของโรงฆ่าสัตว์ ได้จัดงานเลี้ยงอาหารค่ำ เนื่องในวันคล้ายวันเกิด ที่บ้านพักย่านสุขุมวิท  มีแขกเหรื่อที่ได้รับเชิญมากันคับคั่ง ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตในวงราชการ มีทั้งนายทหารยศพลเอก นายตำรวจระดับ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  ข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ พร้อมใจมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง บริเวณงานพื้นที่หลายไร่ ดูคับไปถนัดตา  แสดงให้เห็นถึงบารมีของเสี่ยใหญ่คนนี้ว่า  “ไม่ธรรมดา”

  ลุงสิงห์  เมาหนักไปหน่อยในคืนนั้น  หลังจากที่รู้ตัวว่าไม่ไหว ประกอบกับความง่วงที่อดนอนมาจากคืนก่อน  ทำให้ ลุงสิงห์ หลบฉากไปนอนยังห้องรับแขกเสียก่อน กว่างานจะยุติ  ก็ปาเข้าไปถึง ตี 2  แขกเหรื่อกลับกันไปหมดแล้ว เหลือแต่พนักงานและเพื่อน ๆ ของ ลุงสิงห์ ร่วม 10 คน จากโรงฆ่าสัตว์ ที่มาร่วมงานฉลองด้วย ต่างก็เข้ามายังห้องรับรองแขกที่  ลุงสิงห์  นอนอยู่ก่อนแล้ว เพื่อขอนอนพักเอาแรงบ้าง เสียงคุยกันของพนักงานโรงฆ่าสัตว์ ไม่ได้รบกวนโสตประสาทของ ลุงสิงห์ ให้ตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่เป็นห้องปรับอากาศ  เสียงดังก้องทั่วทั้งห้อง แกนอนหลับอย่างสนิท ไฟแสงสว่างในห้องถูกปิดลง ทุกอย่างในห้องดูมืดสนิทแทบมองไม่เห็นอะไร  เสียงคุยเงียบลง  คงได้ยินแต่เสียงลมที่พ่นออกมาจากหน้าเครื่องปรับอากาศเท่านั้น

  เพียง 1 ชั่วโมงให้หลัง หลายคนในห้องต้องตกใจสะดุ้งตื่น เมื่อต่างได้ยินเสียงที่เหมือนกัน คือเสียงเหมือนกับ “วัวร้อง” ดังลั่นเป็นช่วง ๆ อยู่ภายในห้องรับรองที่ต่างเข้าไปนอนพักผ่อนเป็นการชั่วคราว  เสียงดังชัดเจน หลายคนเคยชินต่อเสียงนี้เป็นอย่างดี  เพราะทำงานอยู่ในโรงฆ่าสัตว์ของเจ้านาย   แต่สงสัยว่า  มันมาร้องดังในห้องนี้ได้อย่างไร  ดังรบกวนมากจนนอนไม่หลับ

  ในที่สุด  หลายคนพร้อมใจกันลุกขึ้นจากที่นอน เพื่อเดินหาต้นตอเสียงนี้ว่า มันมาจากไหน หลังจากที่ค่อย ๆ เดินสำรวจไปได้สักครู่ จึงพบว่า  เสียงร้องดังลั่นเหมือนวัวร้องนั้น ที่แท้เป็นเสียงการนอนกรนของ  ลุงสิงห์  นั่นเอง 

  ลุงสิงห์ นอนกรนเหมือนวัวร้อง ไม่มีผิด  เสียงดังมาก โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้สึกตัว เพราะนอนหลับไป เพื่อนร่วมงานของ ลุงสิงห์ วิพากษ์วิจารณ์กันว่า ลักษณะเช่นนี้ คนเฒ่าคนแก่ เคยบอกว่า คนที่สร้างบาปกรรมไว้มาก โดยเฉพาะการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก่อนจะตาย มักจะมีอาการคล้ายกับสัตว์ที่ตนเองเคยฆ่ามา  ซึ่งเป็นลางออกเหตุล่วงหน้าให้ทราบว่า คน ๆ นั้น เมื่อตายแล้ว  ก็คงจะไปเกิดเป็นสัตว์ที่ตนเองเคยฆ่ามาหลายร้อยหลายพันชาติทีเดียว

  แต่อาการนอนกรนเสียงเหมือน “วัวร้อง” ที่ดังมากของ ลุงสิงห์นั้น เกิดขึ้นในขณะที่แกนอนหลับไป ยังไม่เจ็บไข้ได้ป่วยใกล้ตายเหมือนคนอื่น ทุกคนจึงลงความเห็นว่า ลุงสิงห์ มีกรรมหนักมากกว่าคนอื่น หาก ลุงสิงห ์ตายไป ย่อมไปเสวยทุกข์ในอบายภูมิอย่างแน่นอน  คนงานบางคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องบุญบาป หรือถือคติว่าการฆ่าสัตว์ที่เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์นั้น ฆ่าแล้วไม่บาปเริ่มใจไม่ดีเมื่อเห็นอาการของลุงสิงห์บางรายถึงขนาดลาออกไปประกอบอาชีพด้านอื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฆ่าสัตว์อีกเลย

  ลุงสิงห์ ดำเนินอาชีพ คนฆ่าวัว ในโรงฆ่าสัตว์แห่งนี้มานานหลายปี มีเงินมีทองจากการรับใช้เสี่ยเจ้าของโรงฆ่าสัตว์แห่งนี้มาพอสมควรแกสามารถเลี้ยงดูครอบครัวอย่างมีความสุข ส่งเสียเมียรัก พร้อมด้วยลูกชายวัย 19 และ ลูกสาววัย 17 ซึ่งอยู่ในวัยศึกษาทั้งคู่ ทุกอย่างดูราบรื่นดี

    เมื่อลุงสิงห์มีอายุมากขึ้นนายจ้างจึงสับเปลี่ยนหน้าที่ ให้ ลุงสิงห์ ทำงานที่เบาลง ไม่ต้องลงมือฆ่าสัตว์เหมือนที่ผ่านมาจนกระทั่งเมื่อตอนดึกของคืนหนึ่งจะเรียกว่าเป็นคราวเคราะห์ของ ลุงสิงห์ หรือจะเรียกว่า วิบากกรรมตามสนองก็คงไม่ผิด

   ลุงสิงห์ได้ถูกรถบรรทุกสิบล้อเฉี่ยวชนอย่างจัง ขณะที่กำลังจะข้ามถนนไปยังโรงฆ่าสัตว์  แกเสียหลักล้มลงทันที แต่แรงกรรมเหมือนจะหาความยุติธรรม มันเหมือนมีแรงดึงดูดเกิดขึ้น  ศีรษะของลุงสิงห์ได้ถูกดูดเข้าไปอยู่ใต้ล้อหลังของรถบรรทุกคันนั้น มันเบียดทับศีรษะพร้อมกกหูด้านขวาของ ลุงสิงห์ อย่างน่าสยดสยอง ก่อนที่คนขับจะขับรถหนีไปอย่างลอยนวล เนื่องจากเป็นเวลาดึก และอยู่ในที่เปลี่ยว จึงไม่มีใครได้ทันเห็นเหตุการณ์หรือจำทะเบียนรถบรรทุกคันนั้นได้ ร่างของลุงสิงห์ถูกพลเมืองดีรีบนำส่งโรงพยาบาล เข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ทันที เงินทองที่สะสมไว้หลายแสนบาท ตั้งใจไว้ใช้ในยามชรา ถูกนำออมาใช้จ่ายเป็นค่ารักษา ค่าผ่าตัดจนหมดสิ้น หลังจากที่ ลุงสิงห์ นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลถึง 3 เดือน หมอจึงอนุญาตให้กลับไปนอนพักรักษาตัวที่บ้าน

   ลุงสิงห์ ไม่ตาย แต่ก็กลายเป็นคนพิการ แกเป็นอัมพาตไปครึ่งตัว มือซ้ายก็ขยับไม่ได้ เสียงพูดอ้อแอ้ฟังไม่ได้ศัพท์ เพื่อนบ้านที่เคยรู้จักกันมาก่อน ต่างก็มาเยี่ยม ลุงสิงห์ ถึงบ้าน อนิจจาไม่สามารถสื่อสารกันได้ทุกคน ต่างสลดใจและรู้สึกเวทนา เมื่อเห็นสภาพของเขา เนื้อหนังบริเวณกกหูด้านขวาแหว่งหายไปบางส่วน

  ต่อมาไม่นานลุงสิงห์เริ่มมีอาการประหลาดเกิดขึ้น นั่นคือ ทุก ๆ คืนในยามดึก ลุงสิงห์ จะมีอาการปวดหัวอย่างหนัก ปวดแต่ละครั้ง ก็จะร้องโหยหวนดังลั่น เสียงเหมือน “วัวที่ถูกเชือด” ไม่มีผิดเพี้ยน มีอาการดิ้นทุรนทุราย  ดูทุกข์ทรมานยิ่งนัก เสียงร้องได้ยินไปไกล ตั้งแต่ต้นซอย ยันท้ายซอยของบ้านแก

   ข้อที่แปลกคือ อาการปวดหัวของ ลุงสิงห์ หมอหลายรายรักษาไม่หาย หาสาเหตุไม่เจอ  เหมือนที่เขาว่าเป็น “โรคกรรม” เวลาเป็นขึ้นมา ยาระงับปวดให้กินก็เอาไม่อยู่ จะเกิดขึ้นในยามดึกซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่แกเคยทุบหัววัวและลงมือฆ่ามัน ลุงสิงห์ จะดิ้นทรมานอยู่นานประมาณ 1 ชั่วโมง  อาการก็จะทุเลาลงเองเป็นอย่างนี้ทุกคืน ลูก เมีย ญาติๆ ไม่มีใครช่วยได้นอกจากยืนดูตาปริบๆ แกทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้อีกเกือบปี จึงได้เสียชีวิตลงเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง สร้างความเศร้าสลดใจให้แก่ครอบครัวและญาติๆ ของแกยิ่งนัก ชาวบ้านต่างลงวามเห็นว่า ลุงสิงห์ ถูกจองเวรจาก “วิบากกรรม” ที่แกทำไว้ ไม่ต้องรอผลถึงชาติหน้า และเชื่อกันว่า หลังจากที่แกสิ้นใจลง คงมี “อเวจีมหานรก” เป็นที่ไปอย่างแน่นอน ก่อนที่จะมาเกิดเป็น “วัว” ให้มนุษย์เชือด อีกหลายร้อยหลายพันชาติ เท่ากับจำนวนที่แกเคยทำกับเขามาก่อน เป็น “วัฏจักร” วนเวียนกันอยู่เช่นนี้  ไม่มีที่สิ้นสุด
  
  ท่านผู้อ่านล่ะครับ พอจะเลิกเชื่อหรือยังว่า “การฆ่าสัตว์ที่เกิดมาเป็นอาหารนั้น ไม่บาป” เพราะตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น ไม่มีข้อยกเว้นนะครับ คำสอนของพระพุทธองค์นั้น เป็นจริงเสมอ  เป็นจริงตลอดกาล  และ  “พิสูจน์ได้ด้วยตัวของตัวเองเท่านั้น”





ชีวิตต่อชีวิต


ชีวิตต่อชีวิต  
ท่านที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนคงจะนับวันถอยหลังแล้ว  และในขณะที่ท่านกำลังนับวันถอยหลังนี้  ทราบไหมว่าด้วยวัย 60 ของท่านนั้น มีมือดีกำลังรณรงค์รักษาชีวิตสัตว์โลก  เขาแอบเก็บตัวเลขจำนวนสัตว์ที่ท่านบริโภคไปแล้วออกมาเผยแพร่เป็นตัวเลขที่น่าตกใจทีเดียว

เขาคำนวนแล้วทั้งสัตว์ตัวเล็ก ตัวใหญ่  และที่ยังไม่เป็นตัว ทั้ง 2 เท้า และ 4 เท้า  และไม่มีเท้า  ทั้งที่อยู่บนบกและในน้ำ  และบนอากาศ  มันถูกบริโภคไปดังนี้  ประเภทสัตว์ปีก นก เป็ด ไก่ ห่าน รวมประมาณ 2 หมื่นตัว  ไข่ต่างๆ 6 หมื่นฟอง  กุ้ง หอย ปู ปลา 1 แสน 2 หมื่นตัว  สัตว์ใหญ่คือ หมู วัว ควาย ประมาณ 3 พันตัว  รวมแล้วสัตว์ทั้งหลายต้องถวายชีวิตถึง 2 แสน 3 พันชีวิต เพื่อให้คนๆหนึ่งมีชีวิตอยู่มาได้ถึง 60 ปี

ถ้าจะพิจาณาด้วยใจเป็นธรรมแล้ว  มันไม่ยุติธรรมเลยสำหรับสัตว์ผู้ไม่มีทางสู้เหล่านั้นเพราะมันย่อมรักชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์เรา  แต่ก็ถูกมนุษย์แย้งว่า มนุษย์จำเป็นต้องได้โปรตีนจากสัตว์  แต่ปัจจึบันเราก็ค้นพบแล้วว่า  เราสามารถหาโปรตีนจากถั่วได้ไม่น้อยกว่าสัตว์  เราหันมากินพืชผักและถั่วต่างๆแทนจึงนาสจะเป็นการดีต่อชีวิตสัตว์และดีต่อสุขภาพของมนุษย์เองด้วย  เพราะจากการศึกษาแล้วพบว่าสัตว์ตัวใหญ่ๆ เช่น วัว ควายนั้น มีสัญชาติญาณรักตัวกลัวตายสูง เมื่อรู้ตัวว่าจะถูกนำไปฆ่า  ร่างกายของมันจะหลั่งสารชนิดหนึ่งออกมาแทรกอยู่ตามกล้ามเนื้อ  และสารชนิดนี้เมื่อคนกินเข้าไปมันจะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคมะเร็ง  โรคหัวใจ  โรคกะเพาะอาหาร  โรคตับ  โรคไต  โรคปวดข้อ  ปวดกรพดูก  และอื่นๆ อีกหลายโรค

แม้จะรู้ถึงโทษแล้ว  แต่เพราะเราท่านผู้กินเนื้อมาตลอดชีวิต  อยู่ดีๆจะให้หยุดไปเด็ดขาดทันทีคงจะยาก เอาเป็นว่าค่อยเป็นค่อยไป  ค่อยๆลดลงก็จะเป็นกุศลต่อสัตว์และเป็นผลดีต่อสุขภาพเราเอง