มีลูก หรือ ไม่มีลูก ดี ?


 มีลูก หรือไม่มีลูกดี 
แล้วสำหรับผู้ที่ยังไม่มีบุตร จะพิจารณาอย่างไรโดยใช้หลัก พุทธวัจนะ  ว่าจะมีลูกหรือไม่?  ง่าย ๆ ดังนี้ว่า
ไม่ควรมีบุตรเพราะเหตุสักว่า
หวังว่าลูกจะเลี้ยงเราตอบ
ได้เล่นกับลูกสนุกสนานตอนที่ลูกยังเป็นเด็ก
มีลูกไว้ใช้งาน
หวังว่าจะมอบสมบัติให้ลูกไว้ดูแลรักษาต่อ 


ที่ไม่ควรมีด้วยเหตุนั้นเพราะว่า
ลูกอาจจะตายก่อนเรา
ลูกอาจจะติดยาเสพติด
ลูกอาจโตมาไม่เป็นที่รักที่พอใจของเรา มีความเสี่ยงเพราะความไม่เที่ยงของสังสารวัฎ

ถ้าจะมีลูกควรมีลูกด้วยเหตุดังนี้คือ
มีความสุขที่เกิดจากการเป็นผู้ให้
มีความสุขที่เกิดจากการเป็นผู้อุปการะผู้อื่นก่อน
มีความสุขที่เกิดจากความรักความเมตตา เพราะเหตุใดเล่า?
เพราะความสุขนั้นเป็นความสุขที่เกิดจากในภายใน
เป็นความสุขที่พระพุทธเจ้าให้เสพ
มีความเปลื่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นได้น้อยกว่าจากปัจจัยภายนอก

ส่วนผู้ที่มีบุตร/บุตรีอยู่แล้ว ควรทำอย่างไร? ก็ให้ทำหน้าที่ของมารดาบิดาดังนี้คือ
1. ห้ามเสียจากบาป
2. ให้ตั้งอยู่ในความดี
3. ให้ศึกษา
4. ให้มีคู่ครองที่สมควร
5. มอบมรดกให้ตามเวลา

ระลึกนึกถึงความตาย


ระลึกนึกถึงความตาย
กลัวก็ต้องตาย ไม่กลัวก็ต้องตาย ทุกคนล้วนตายหมด และก็เคยตายกันมาแล้วทั้งนั้น ความตายเป็นสิ่งที่เราจะต้องนำมาคิด คิดถึงความตายวันละนิด จิตแจ่มใส เพราะจะทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างถูกวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ จะไม่ประมาท จะสั่งสมบุญอยู่ตลอดเวลา จะไม่คร่ำครวญเมื่อชีวิตลำเค็ญ เพราะรู้ว่า เราจะลำเค็ญอยู่ในโลกมนุษย์ไม่กี่ปี ก็ตายแล้ว โดยเฉพาะอายุขัยเฉลี่ยมนุษย์ในยุคนี้แค่ ๗๕ ปี 


             เพราะฉะนั้น ลำเค็ญก็ลำเค็ญไม่นาน ยากจนก็ยากจนประเดี๋ยวประด๋าว อย่าไปทุกข์ใจกันเลย สั่งสมบุญกุศลกันไป เราไปเอาดีกันภพเบื้องหน้า ไปศึกษาเรื่องเหตุและผลของการที่เรามาเป็นอยู่ปัจจุบัน ผลที่เราลำเค็ญ ลำบาก อัตคัด เรื่องปัจจัยสี่ เป็นเพราะเราประกอบเหตุไว้ในอดีตคือ ความตระหนี่ หวงแหนเสียดายทรัพย์ ไม่สั่งสมบุญเอาไว้

             โดยเฉพาะเราอาจจะเป็นคนเคยรวย รวยมาก มีทรัพย์มาก พอมีทรัพย์มากใครมาชวนทำบุญ เราก็อาจจะมีความคิดว่า เรารวยขึ้นมาเพราะหนึ่งสมองสองมือ ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น ทำให้เราเกิดมีมานะทิฏฐิ และประมาทในการดำเนินชีวิต เราก็พยายามจะใช้ทรัพย์นั้นเพื่อแสวงหาทรัพย์และแสวงหาความสุขต่อไป คือเราเข้าใจว่าได้มาด้วยฝีมือ แล้วมีทิฏฐิมานะ ใครจะมาเป็นกัลยาณมิตรชักชวนให้ทำความดี ก็จะถือเนื้อถือตัว ไม่ต้อนรับบ้าง ไม่ยอมรับคำแนะนำบ้าง แม้จะต้อนรับทางกายก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่เราประกอบเหตุเอาไว้ เพราะมีความตระหนี่เราจึง มาลำบากลำเค็ญในชาตินี้ เพราะฉะนั้นลำเค็ญ ประเดี๋ยวประด๋าวก็จะหมดเวลาแล้ว สั่งสมบุญกันไปเถอะนะลูกนะ 

             ส่วนใครที่ร่ำรวยก็พึงคิดต่อไป รวยแค่ประเดี๋ยวเดียวเช่นกัน จะรวยกี่แสนล้าน ก็รวยประเดี๋ยวเดียว ก็ต้องตาย แล้วจะรวยแค่ไหนก็ตาม มีบ้านกี่พันหลังก็อยู่ได้ทีละหลัง มีเตียงกี่พันเตียงก็นอนได้ทีละเตียง มีห้องกี่พันห้องก็นอนได้ทีละ ห้อง มีรถกี่พันคันก็นั่งได้ทีละคัน มันทีละคันเท่านั้นเอง ที่เหลือก็ต้องเสียค่าบำรุงดูแลรักษากันไป จ่ายกันไป ได้ปลื้มหน่อยที่ว่า เรามีเหนือกว่าคนอื่น หรือเท่าคนอื่นเขา หรือที่คนอื่นเขาไม่มี ก็แค่นั้น แล้วก็ตาย มัวแต่ปลื้มกันอยู่อย่างนี้ หรือสนุกเพลิดเพลิน เพราะเรามีทรัพย์มาก สนุกสนาน เฮฮากันบ้าง หรือเอาทรัพย์ต่อทรัพย์ มัวแต่ทำมาหากินอย่างเดียว ไม่ได้สั่งสมบุญ เพลินกับสเตทเม้นท์ ดูตัวเลข ขึ้นไปหลักสองแสนกว่าล้าน สามแสน สี่แสนล้าน อะไรต่างๆ ปลื้มไม่กี่ทีก็ตายแล้ว

             ถ้าไม่สั่งสมบุญเอาไว้ สิ่งที่เราสร้างไว้ตอนที่เรามีบุญอยู่เป็นมนุษย์ ถ้าตายตอนนั้น แล้วมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ไม่ได้อยู่ที่เดิม สิ่งที่เราเคยสร้างไว้ ไม่ได้อยู่ที่เดิม เหมือนลูกคนขอทานคนหนึ่ง อดีตเป็นเศรษฐี แต่เป็นคนตระหนี่ ไม่สั่งสมบุญ พอตายแล้ว ได้มาเข้าท้องคนขอทาน พออยู่ในครรภ์มารดา ขนาดขอทาน ยังไม่มีใคร มีอารมณ์ให้ คลอดลูกออกมาพาไปขอทานที่ไหน ก็อด ลำบาก จนกระทั่งโตพอช่วยเหลือตัวเองได้ ก็ส่งกะลาให้ลูก ลูกเอ๋ย นี่คืออุปกรณ์ทำมาหากินของลูก ทีนี้พอถือไป ไปที่ไหนเขาก็ไล่ออกมาอีก แล้วแถมหน้าตาก็อัปลักษณ์เหมือนปีศาจคลุกฝุ่นอย่างนั้น แต่เพิ่งตายหยกๆ พอจะมีบุญระลึกชาติได้ เดินผ่านอดีตบ้านเก่าของตัว จำได้ นี่บ้านของเรา นั่นลูกชายเรา แต่ใครจะไปจำได้ 
เพราะว่าอยู่ในยูนิฟอร์มใหม่ มาในมาดของลูกขอทาน ด้วยร่างกายที่อัปลักษณ์ ประดุจปีศาจคลุกฝุ่นอย่างนั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปใช้ทรัพย์ของตัวในอดีตชาติที่ตัวเคยรวย และสร้างมากับมือ เราจะไปอ้างสิทธิ์ว่า ชาติที่ผ่านมา ฉันเคยอยู่บ้านนี้ สร้างมากับมือ ไม่เชื่อไปดูขุมทรัพย์อะไรต่างๆ อย่างนั้นอย่างนี้สิ ก็ไม่มีใครเชื่อมีแต่จะจับโยนออกจากบ้าน 

             เพราะฉะนั้น ก็แปลว่า รวยก็รวยไม่กี่ปีในเมืองมนุษย์ จึงควรนำทรัพย์ที่เราหามาได้ เอามาเป็นบุญต่อบุญ สมบัติต่อสมบัติกันดีกว่า มาทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่โลก มาสั่งสมบุญ เพราะบุญจะได้เต็มที่ต่อเมื่อทรัพย์นั้นได้มาด้วยการประกอบสัมมาอาชีวะ การจะประกอบอาชีพ เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ ขอให้ได้ปัจจัยสี่ มาเลี้ยงชีวิต จะไปเบียดเบียนใครก็ได้ อย่าคิดอย่างนั้น เพราะว่ามันมีวิบากกรรมรองรับอยู่ เป็นกฎที่ไม่มีใครจะเอาชนะได้ ทุกคนภายในโลกนี้ แม้แต่พระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ก็ยังตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม เทวดาเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ยังตกภายใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น มนุษย์ยังขาดแคลนความรู้ตรงนี้ มามีความรู้ตรงนี้ต่อเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาโปรด จึงเป็นความรู้สากลที่ทุกคนจะต้องศึกษาไว้ เพื่อจะดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง

             เพราะฉะนั้น รวยก็ประเดี๋ยวเดียว อย่าชะล่าใจ สั่งสมบุญเอาไว้ให้ดี และบุญจะต้องได้มาจากทรัพย์ที่ประกอบสัมมาอาชีวะ นี่เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาไว้ แม้ทรัพย์น้อย แต่หัวใจเกินร้อย เลื่อมใสในพระรัตนตรัยก็มีบุญใหญ่ได้ ได้บุญใหญ่ ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ได้ นี่เป็นสิ่งที่ต้องศึกษากัน


สังขาร

สังขาร
กาลเวลา ทำให้คนเราเปลี่ยนไป สังขารไม่เที่ยงจริง ๆ ครีมทากลางวัน ทาก่อนนอน ทาตอนนอนกลางวัน ก็เอาไม่อยู่ เซรุ่ม เซรั่ม เสียเงินซื้อมา ราคาแพง ๆ ใช้เงินซื้อ ต่อเดือน เป็นหมื่น ๆ สุดท้าย ก็จบ ด้วย ฟอมารีน(มีคนซื้อให้อีกต่างหาก) ที่สำคัญ ใช่ว่าคุณจะอยู่ถึงรูปขวามือกันทุกคน ศีล 5 ครบ กันซักนิดนึง ก่อนจะไป จะได้ มีคุณสมบัติสอบปรับวุฒิ เป็นเทวดาได้ เผื่อเขาสรรหา ภายใน(อันนี้มั่ว)  คุณงามความดีเท่านั้นที่ติดตัวเราไปตลอด 

เรื่องจริงของคนฆ่าวัว

เรื่องจริงของคนฆ่าวัว
อาชีพฆ่าสัตว์ ที่เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์  เช่น หมู เป็ด ไก่ วัว ฯลฯ หลายคนบอกว่า  “ไม่บาป” ทั้ง  ๆ ที่เป็นพุทธศาสนิกชน  พูดแบบชาวบ้านว่า มันเกิดมาเพื่อให้คนกินโดยเฉพาะ   แต่ตามหลักของพระพุทธศาสนา ไม่เห็นมข้อยกเว้น ถือว่า ผิดศีลข้อ 1 ว่าด้วย “ปาณาติบาต”  แม้กระทั่งคนที่ไม่จงใจฆ่า แต่บังเอิญไปทำให้มันตายเข้า เช่น เดินไปเหยียบถูก มด แมลง  ทางพระยังสอนให้เรารู้จักอุทิศส่วนกุศลไปให้  เมื่อมีโอกาสทำบุญหรือปฏิบัติธรรมทุกครั้ง  เป็นการขออโหสิกรรม ไม่จองเวรต่อกัน  แต่ถ้าจะถามว่า  ถ้าหากไม่มีมือเพชรฆาตเหล่านี้แล้ว  คนที่ว่าบาป  จะเอาเนื้อสัตว์อะไรมากินได้ จะหาซื้ออาหารเหล่านี้ได้จากที่ไหน มิต้องกินแต่ผักหญ้าหรืออย่างไร

  เรื่องนี้ เคยถามทางพระอยู่เหมือนกัน  คำตอบที่ได้คือ  “ผลย่อมมาจากเหตุ”  เป็นวิบากกรรมจองเวรอย่างหนึ่งในอดีตชาติ ของผู้ที่มีอาชีพนี้โดยเฉพาะ  การปาณาติบาต ซึ่งสัตว์ที่ถูกฆ่า ก็จะจองเวรในชาติต่อ ๆ ไป เป็นวัฏจักรเช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

  ลุงสิงห์  เป็นผู้หนึ่งที่ถือได้ว่ามี  “วิบากกรรม” ในเรื่องนี้  ขณะที่แกเสียชีวิตลง อายุของแก นับได้ประมาณ 60 ปีเศษ  ผมเพิ่งไปร่วมพิธีงานศพของ  ลุงสิงห์ เมื่อสองวันมานี่เอง  แกตายไม่ดีเลย  ผมได้รับการถ่ายทอดคำบอกเล่า จากคนรู้จักและญาติ ๆ ของแก ก่อนที่จะทราบว่า  แกตายไม่ดีอย่างไร  ขอย้อนไปเล่าถึงเมื่อตอนที่ ลุงสิงห์  ยังแข็งแรง  ยังหนุ่มยังแน่นเสียก่อนดีกว่านะครับ

  เมื่อ 30 ปีที่แล้ว  ลุงสิงห์  จัดอยู่ในประเภท  นักเลงขาใหญ่คนหนึ่ง ในย่านบางขุนเทียน ใคร ๆ ก็ยำเกรง  แกจะพกมีดพับติดตัวเป็นอาวุธประจำกาย พร้อมกับปืนพกสั้นลูกโม่ขนาด .38 อีกหนึ่งกระบอก รูปร่างของ ลุงสิงห์ ล่ำสัน บึกบึน มีกล้ามเป็นมัด ๆ  อาชีพหลักของแกก็คือ เป็นคนฆ่าวัวในโรงฆ่าสัตว์แห่งหนึ่ง ต่อมา เสี่ยใหญ่เจ้าของโรงฆ่าสัตว์แห่งนั้น เกิดรักใคร่ เอ็นดู  เพราะเห็นว่า  ลุงสิงห์ เป็นคนขยัน และ มีคนยำเกรงมาก  จึงเรียกใช้ให้เป็นคนขับรถประจำตัว หรือ ติดตามไปในทุกที่หลังจากที่เสร็จภาระกิจประจำวัน  โดยสลับกับคนขับรถอีกคนหนึ่ง  ซึ่งถือว่า ลุงสิงห์  เป็นมือปืนคุ้มกันประจำตัวด้วย

  ลุงสิงห์ เคยเล่าถึงกรรมวิธีการฆ่าวัว ฟังแล้วสยดสยอง มีการใช้ค้อนขนาดใหญ่ ทุบหัว หรือ กกหู ใช้เหล็กแหลมที่คมกริบ แทงเข้าที่บริเวณลำคอ  เสียงร้องโหยหวนของสัตว์เหล่านั้น เมื่อเกิดพลาดเป้าไม่ตายในทันที แสดงถึงความเจ็บปวด  ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส  วัวบางตัวมีความเฉลียวฉลาดใกล้มนุษย์ เมื่อรู้ตัวว่า กำลังจะตาย น้ำตาไหลพลูออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้างอย่างเห็นได้ชัด  ลุงสิงห์ เล่าให้ฟังโดยไม่รู้สึกอาการสะทกสะท้าน หรือ เศร้าสลดใจกับการกระทำของตนเองแต่อย่างใด แกบอกว่า สัตว์เหล่านี้ เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์โดยเฉพาะ 

  แต่แล้ว สัญญาณที่ส่อเค้าให้ทราบว่า  ลุงสิงห์ จะตายไม่ดี หรือ ไปสู่ทุกข์คติอย่างแน่นอน  หากต้องเสียชีวิตลงเมื่อไร  ก็เกิดขึ้นในคืนหนึ่ง เสี่ยใหญ่เจ้าของโรงฆ่าสัตว์ ได้จัดงานเลี้ยงอาหารค่ำ เนื่องในวันคล้ายวันเกิด ที่บ้านพักย่านสุขุมวิท  มีแขกเหรื่อที่ได้รับเชิญมากันคับคั่ง ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตในวงราชการ มีทั้งนายทหารยศพลเอก นายตำรวจระดับ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  ข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ พร้อมใจมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง บริเวณงานพื้นที่หลายไร่ ดูคับไปถนัดตา  แสดงให้เห็นถึงบารมีของเสี่ยใหญ่คนนี้ว่า  “ไม่ธรรมดา”

  ลุงสิงห์  เมาหนักไปหน่อยในคืนนั้น  หลังจากที่รู้ตัวว่าไม่ไหว ประกอบกับความง่วงที่อดนอนมาจากคืนก่อน  ทำให้ ลุงสิงห์ หลบฉากไปนอนยังห้องรับแขกเสียก่อน กว่างานจะยุติ  ก็ปาเข้าไปถึง ตี 2  แขกเหรื่อกลับกันไปหมดแล้ว เหลือแต่พนักงานและเพื่อน ๆ ของ ลุงสิงห์ ร่วม 10 คน จากโรงฆ่าสัตว์ ที่มาร่วมงานฉลองด้วย ต่างก็เข้ามายังห้องรับรองแขกที่  ลุงสิงห์  นอนอยู่ก่อนแล้ว เพื่อขอนอนพักเอาแรงบ้าง เสียงคุยกันของพนักงานโรงฆ่าสัตว์ ไม่ได้รบกวนโสตประสาทของ ลุงสิงห์ ให้ตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่เป็นห้องปรับอากาศ  เสียงดังก้องทั่วทั้งห้อง แกนอนหลับอย่างสนิท ไฟแสงสว่างในห้องถูกปิดลง ทุกอย่างในห้องดูมืดสนิทแทบมองไม่เห็นอะไร  เสียงคุยเงียบลง  คงได้ยินแต่เสียงลมที่พ่นออกมาจากหน้าเครื่องปรับอากาศเท่านั้น

  เพียง 1 ชั่วโมงให้หลัง หลายคนในห้องต้องตกใจสะดุ้งตื่น เมื่อต่างได้ยินเสียงที่เหมือนกัน คือเสียงเหมือนกับ “วัวร้อง” ดังลั่นเป็นช่วง ๆ อยู่ภายในห้องรับรองที่ต่างเข้าไปนอนพักผ่อนเป็นการชั่วคราว  เสียงดังชัดเจน หลายคนเคยชินต่อเสียงนี้เป็นอย่างดี  เพราะทำงานอยู่ในโรงฆ่าสัตว์ของเจ้านาย   แต่สงสัยว่า  มันมาร้องดังในห้องนี้ได้อย่างไร  ดังรบกวนมากจนนอนไม่หลับ

  ในที่สุด  หลายคนพร้อมใจกันลุกขึ้นจากที่นอน เพื่อเดินหาต้นตอเสียงนี้ว่า มันมาจากไหน หลังจากที่ค่อย ๆ เดินสำรวจไปได้สักครู่ จึงพบว่า  เสียงร้องดังลั่นเหมือนวัวร้องนั้น ที่แท้เป็นเสียงการนอนกรนของ  ลุงสิงห์  นั่นเอง 

  ลุงสิงห์ นอนกรนเหมือนวัวร้อง ไม่มีผิด  เสียงดังมาก โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้สึกตัว เพราะนอนหลับไป เพื่อนร่วมงานของ ลุงสิงห์ วิพากษ์วิจารณ์กันว่า ลักษณะเช่นนี้ คนเฒ่าคนแก่ เคยบอกว่า คนที่สร้างบาปกรรมไว้มาก โดยเฉพาะการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก่อนจะตาย มักจะมีอาการคล้ายกับสัตว์ที่ตนเองเคยฆ่ามา  ซึ่งเป็นลางออกเหตุล่วงหน้าให้ทราบว่า คน ๆ นั้น เมื่อตายแล้ว  ก็คงจะไปเกิดเป็นสัตว์ที่ตนเองเคยฆ่ามาหลายร้อยหลายพันชาติทีเดียว

  แต่อาการนอนกรนเสียงเหมือน “วัวร้อง” ที่ดังมากของ ลุงสิงห์นั้น เกิดขึ้นในขณะที่แกนอนหลับไป ยังไม่เจ็บไข้ได้ป่วยใกล้ตายเหมือนคนอื่น ทุกคนจึงลงความเห็นว่า ลุงสิงห์ มีกรรมหนักมากกว่าคนอื่น หาก ลุงสิงห ์ตายไป ย่อมไปเสวยทุกข์ในอบายภูมิอย่างแน่นอน  คนงานบางคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องบุญบาป หรือถือคติว่าการฆ่าสัตว์ที่เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์นั้น ฆ่าแล้วไม่บาปเริ่มใจไม่ดีเมื่อเห็นอาการของลุงสิงห์บางรายถึงขนาดลาออกไปประกอบอาชีพด้านอื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฆ่าสัตว์อีกเลย

  ลุงสิงห์ ดำเนินอาชีพ คนฆ่าวัว ในโรงฆ่าสัตว์แห่งนี้มานานหลายปี มีเงินมีทองจากการรับใช้เสี่ยเจ้าของโรงฆ่าสัตว์แห่งนี้มาพอสมควรแกสามารถเลี้ยงดูครอบครัวอย่างมีความสุข ส่งเสียเมียรัก พร้อมด้วยลูกชายวัย 19 และ ลูกสาววัย 17 ซึ่งอยู่ในวัยศึกษาทั้งคู่ ทุกอย่างดูราบรื่นดี

    เมื่อลุงสิงห์มีอายุมากขึ้นนายจ้างจึงสับเปลี่ยนหน้าที่ ให้ ลุงสิงห์ ทำงานที่เบาลง ไม่ต้องลงมือฆ่าสัตว์เหมือนที่ผ่านมาจนกระทั่งเมื่อตอนดึกของคืนหนึ่งจะเรียกว่าเป็นคราวเคราะห์ของ ลุงสิงห์ หรือจะเรียกว่า วิบากกรรมตามสนองก็คงไม่ผิด

   ลุงสิงห์ได้ถูกรถบรรทุกสิบล้อเฉี่ยวชนอย่างจัง ขณะที่กำลังจะข้ามถนนไปยังโรงฆ่าสัตว์  แกเสียหลักล้มลงทันที แต่แรงกรรมเหมือนจะหาความยุติธรรม มันเหมือนมีแรงดึงดูดเกิดขึ้น  ศีรษะของลุงสิงห์ได้ถูกดูดเข้าไปอยู่ใต้ล้อหลังของรถบรรทุกคันนั้น มันเบียดทับศีรษะพร้อมกกหูด้านขวาของ ลุงสิงห์ อย่างน่าสยดสยอง ก่อนที่คนขับจะขับรถหนีไปอย่างลอยนวล เนื่องจากเป็นเวลาดึก และอยู่ในที่เปลี่ยว จึงไม่มีใครได้ทันเห็นเหตุการณ์หรือจำทะเบียนรถบรรทุกคันนั้นได้ ร่างของลุงสิงห์ถูกพลเมืองดีรีบนำส่งโรงพยาบาล เข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ทันที เงินทองที่สะสมไว้หลายแสนบาท ตั้งใจไว้ใช้ในยามชรา ถูกนำออมาใช้จ่ายเป็นค่ารักษา ค่าผ่าตัดจนหมดสิ้น หลังจากที่ ลุงสิงห์ นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลถึง 3 เดือน หมอจึงอนุญาตให้กลับไปนอนพักรักษาตัวที่บ้าน

   ลุงสิงห์ ไม่ตาย แต่ก็กลายเป็นคนพิการ แกเป็นอัมพาตไปครึ่งตัว มือซ้ายก็ขยับไม่ได้ เสียงพูดอ้อแอ้ฟังไม่ได้ศัพท์ เพื่อนบ้านที่เคยรู้จักกันมาก่อน ต่างก็มาเยี่ยม ลุงสิงห์ ถึงบ้าน อนิจจาไม่สามารถสื่อสารกันได้ทุกคน ต่างสลดใจและรู้สึกเวทนา เมื่อเห็นสภาพของเขา เนื้อหนังบริเวณกกหูด้านขวาแหว่งหายไปบางส่วน

  ต่อมาไม่นานลุงสิงห์เริ่มมีอาการประหลาดเกิดขึ้น นั่นคือ ทุก ๆ คืนในยามดึก ลุงสิงห์ จะมีอาการปวดหัวอย่างหนัก ปวดแต่ละครั้ง ก็จะร้องโหยหวนดังลั่น เสียงเหมือน “วัวที่ถูกเชือด” ไม่มีผิดเพี้ยน มีอาการดิ้นทุรนทุราย  ดูทุกข์ทรมานยิ่งนัก เสียงร้องได้ยินไปไกล ตั้งแต่ต้นซอย ยันท้ายซอยของบ้านแก

   ข้อที่แปลกคือ อาการปวดหัวของ ลุงสิงห์ หมอหลายรายรักษาไม่หาย หาสาเหตุไม่เจอ  เหมือนที่เขาว่าเป็น “โรคกรรม” เวลาเป็นขึ้นมา ยาระงับปวดให้กินก็เอาไม่อยู่ จะเกิดขึ้นในยามดึกซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่แกเคยทุบหัววัวและลงมือฆ่ามัน ลุงสิงห์ จะดิ้นทรมานอยู่นานประมาณ 1 ชั่วโมง  อาการก็จะทุเลาลงเองเป็นอย่างนี้ทุกคืน ลูก เมีย ญาติๆ ไม่มีใครช่วยได้นอกจากยืนดูตาปริบๆ แกทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้อีกเกือบปี จึงได้เสียชีวิตลงเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง สร้างความเศร้าสลดใจให้แก่ครอบครัวและญาติๆ ของแกยิ่งนัก ชาวบ้านต่างลงวามเห็นว่า ลุงสิงห์ ถูกจองเวรจาก “วิบากกรรม” ที่แกทำไว้ ไม่ต้องรอผลถึงชาติหน้า และเชื่อกันว่า หลังจากที่แกสิ้นใจลง คงมี “อเวจีมหานรก” เป็นที่ไปอย่างแน่นอน ก่อนที่จะมาเกิดเป็น “วัว” ให้มนุษย์เชือด อีกหลายร้อยหลายพันชาติ เท่ากับจำนวนที่แกเคยทำกับเขามาก่อน เป็น “วัฏจักร” วนเวียนกันอยู่เช่นนี้  ไม่มีที่สิ้นสุด
  
  ท่านผู้อ่านล่ะครับ พอจะเลิกเชื่อหรือยังว่า “การฆ่าสัตว์ที่เกิดมาเป็นอาหารนั้น ไม่บาป” เพราะตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น ไม่มีข้อยกเว้นนะครับ คำสอนของพระพุทธองค์นั้น เป็นจริงเสมอ  เป็นจริงตลอดกาล  และ  “พิสูจน์ได้ด้วยตัวของตัวเองเท่านั้น”





ชีวิตต่อชีวิต


ชีวิตต่อชีวิต  
ท่านที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนคงจะนับวันถอยหลังแล้ว  และในขณะที่ท่านกำลังนับวันถอยหลังนี้  ทราบไหมว่าด้วยวัย 60 ของท่านนั้น มีมือดีกำลังรณรงค์รักษาชีวิตสัตว์โลก  เขาแอบเก็บตัวเลขจำนวนสัตว์ที่ท่านบริโภคไปแล้วออกมาเผยแพร่เป็นตัวเลขที่น่าตกใจทีเดียว

เขาคำนวนแล้วทั้งสัตว์ตัวเล็ก ตัวใหญ่  และที่ยังไม่เป็นตัว ทั้ง 2 เท้า และ 4 เท้า  และไม่มีเท้า  ทั้งที่อยู่บนบกและในน้ำ  และบนอากาศ  มันถูกบริโภคไปดังนี้  ประเภทสัตว์ปีก นก เป็ด ไก่ ห่าน รวมประมาณ 2 หมื่นตัว  ไข่ต่างๆ 6 หมื่นฟอง  กุ้ง หอย ปู ปลา 1 แสน 2 หมื่นตัว  สัตว์ใหญ่คือ หมู วัว ควาย ประมาณ 3 พันตัว  รวมแล้วสัตว์ทั้งหลายต้องถวายชีวิตถึง 2 แสน 3 พันชีวิต เพื่อให้คนๆหนึ่งมีชีวิตอยู่มาได้ถึง 60 ปี

ถ้าจะพิจาณาด้วยใจเป็นธรรมแล้ว  มันไม่ยุติธรรมเลยสำหรับสัตว์ผู้ไม่มีทางสู้เหล่านั้นเพราะมันย่อมรักชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์เรา  แต่ก็ถูกมนุษย์แย้งว่า มนุษย์จำเป็นต้องได้โปรตีนจากสัตว์  แต่ปัจจึบันเราก็ค้นพบแล้วว่า  เราสามารถหาโปรตีนจากถั่วได้ไม่น้อยกว่าสัตว์  เราหันมากินพืชผักและถั่วต่างๆแทนจึงนาสจะเป็นการดีต่อชีวิตสัตว์และดีต่อสุขภาพของมนุษย์เองด้วย  เพราะจากการศึกษาแล้วพบว่าสัตว์ตัวใหญ่ๆ เช่น วัว ควายนั้น มีสัญชาติญาณรักตัวกลัวตายสูง เมื่อรู้ตัวว่าจะถูกนำไปฆ่า  ร่างกายของมันจะหลั่งสารชนิดหนึ่งออกมาแทรกอยู่ตามกล้ามเนื้อ  และสารชนิดนี้เมื่อคนกินเข้าไปมันจะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคมะเร็ง  โรคหัวใจ  โรคกะเพาะอาหาร  โรคตับ  โรคไต  โรคปวดข้อ  ปวดกรพดูก  และอื่นๆ อีกหลายโรค

แม้จะรู้ถึงโทษแล้ว  แต่เพราะเราท่านผู้กินเนื้อมาตลอดชีวิต  อยู่ดีๆจะให้หยุดไปเด็ดขาดทันทีคงจะยาก เอาเป็นว่าค่อยเป็นค่อยไป  ค่อยๆลดลงก็จะเป็นกุศลต่อสัตว์และเป็นผลดีต่อสุขภาพเราเอง

อานิสงส์ 10 ของการไม่กินเนื้อสัตว์

อานิสงส์ 10 ของการไม่กินเนื้อสัตว์ 
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์และไม่เบียดเบียนสัตว์คือจะทำให้ชีวิตของเราไม่ต้องตายด้วย ปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่ตายด้วยเหตุกาณ์อันน่าสยดสยองหรือภัยพิบัติต่างๆ ทั้งยังสามารถตัดกรรมในเรื่องการฆ่าและยุติการจองเวรกับสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย
                     
องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาอันมิอาจประมาณได้ทรงรักใคร่สรรพสัตว์ทั้งหลายประดุจลูกในอุทรของพระองค์เองเมื่อได้บรรลุอนุตตรสัมโพธิญาณสูงสุดแล้ว ก็ยังทรงมีพระทัยห่วงใยปรารถนาให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายได้หลุดพ้นออกจากบ่วงกรรมและระงับดับการจองเวรซึ่งกันและกัน
    
ในบรรดาบาปกรรมทั้งหลายที่คนหลงผิดกระทำไปการเบียดเบียนฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่นถือเป็นบาปกรรมที่ร้ายแรงที่สุดแม้ว่าจะกระทำลงไปโดยไม่เจตนา ก็ยังต้องไปรับโทษ นับประสาอะไรกับการจงใจเจตนาฆ่าเขาให้ตาย โทษทัณฑ์นั้นจะยิ่งใหญ่หลวงและไม่อาจให้อภัยได้

     ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์ให้เราทุกคนละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และเลิกเบียดเบียนผู้อื่นโดยเด็ดขาด พระองค์จึงทรงบัญญัติศีลข้อ "ปาณาติบาต" คือห้ามการฆ่า เป็นข้อที่สำคัญอันดับหนึ่ง

     ขอให้เราจงมาร่วมกันศึกษาพิจารณาพระพุทธวจนะว่าด้วยเรื่อง "อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์" เพื่อจักได้นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติและบำเพ็ญธรรมให้สูงขึ้นไป

     ในพระสูตรของพระพุทธศาสนามหายานเล่าว่า
      "สมัยหนึ่ง... องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคทั้งหลาย พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสธรรมกถาวิสัชนาแสดงแก่พญานาคราชความว่า
      "บุคคลใดหยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และงดเว้นเสียจากการเสพเลือดเนื้อสัตว์ อีกทั้งยังชี้นำส่งเสริมให้หมู่ชนทั้งหลายหยุดฆ่า หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่น บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศลมูลทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อมด้วยอานิสงส์ทั้ง 10 ประการอันได้แก่:

คลิ๊กที่รูปเพื่อขยาย

ใครจะใหญ่เกินกรรม

ใครจะใหญ่เกินกรรม


เมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว
ที่จังหวัดสระบุรีมีอุบัติเหตุรถบรรทุกชนรถสองแถวซึ่งบรรทุกนักเรียนอยู่เต็มคันเด็กนักเรียนทั้งหมดเสียชีวิตและหนึงในนั้นเพิ่งจะได้มีโอกาสตามญาติผู้ใหญ่ไปกราบนมัสการหลวงปู่ดู่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายคำถามที่ค้างคาใจในเวลานั้นคือทำไมหนอ
หลวงปู่จึงไม่เมตตาช่วยให้เด็กน้อยอันเป็นแก้วตาดวงใจของผู้เป็นพ่อและแม่ให้แคล้วคลาดจากภยันตราย ทั้งๆที่เด็กน้อยผู้นั้นก็มีวัตถุมงคลของหลวงปู่ติดตัวอยู่ แล้วทำไมกับศิษย์บางคนหลวงปู่จึงสงเคราะห์ให้เขาแคล้วคลาด หรือกระทั่งต่ออายุให้แก่เขาคำถามอันจัดเป็นมิจฉาทิฏฐินั้นค่อย ๆ คลี่คลายลง เมื่อได้ยินเรื่องราวว่า วิญญาณของเด็กน้อยผู้นั้น ได้ไปปรากฏตัว โดยมีหลวงปู่ทวดยืนอยู่ข้าง ๆให้ลูกศิษย์ของหลวงปู่ที่อยู่ที่กรุงเทพฯซึ่งเป็นญาติกันได้เห็นในเย็นวันเกิดเหตุ (ซึ่งขณะนั้น
ทางคุณพ่อคุณแม่ของเด็กก็ยังไม่ได้ส่งข่าวว่าเด็กเสียชีวิตแล้ว)
เด็กนั้นได้ฝากคำพูดผ่านลูกศิษย์หลวงปู่ผู้นั้นไปถึงคุณแม่ว่า
"หนูออกมาแล้ว หนูไม่เจ็บเลย ชาติหน้าหนูขอมาเป็นลูกของแม่อีก
บอกแม่หนูด้วย"จากนั้น ตอนค่ำทางญาติของเด็กน้อยนี้จึงได้ส่งข่าวให้ลูกศิษย์หลวงปู่ผู้นั้นได้ทราบว่า เด็กเสียชีวิตแล้ว !
วันต่อมา
ครอบครัวของผู้ตายได้พากันไปทำบุญกับหลวงน้าสายหยุด
หลวงน้าบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงเด็กน้อยนี้อยู่ในความอุปการะของหลวงปู่ทวดแล้วซึ่งก็ตรงกันกับภาพที่มาปรากฏให้ลูกศิษย์หลวงปู่ผู้นั้นได้เห็น
บางครั้งแม้เหตุปัจจัยจะไม่เอื้อให้หลวงปู่สงเคราะห์ให้เขารอดตายได้
แต่ท่านก็จะสงเคราะห์ด้วยการอุปการะดวงจิตของผู้ตายให้ไปสู่ภพภูมิที่ดี
ซึ่งก็อาจจะดีเสียกว่ามาเสียชีวิตภายหลังแต่จากไปอย่างเคว้งคว้าง ล่องลอยหรือไปสู่ภพภูมิที่ไม่ดี
กาลเวลาผ่านไป ประกอบกับประสบการณ์ต่าง ๆ
ที่ได้พบเห็นทำให้ได้ข้อสังเกตอันหนึ่งว่าบุคคลที่หลวงปู่จะสงเคราะห์ต่อ
อายุให้แก่เขาได้มักเป็นผู้ปฏิบัติธรรมหรือเป็นผู้ที่จะทำประโยชน์ไว้กับพระพุทธศาสนานั่นคืออาศัยบุญบารมีและกุศลเจตนาของตัวผู้นั้นเองด้วยว่าหากรอดชีวิตไปแล้วจะเป็นที่แน่นอนว่าเขาจะบำเพ็ญธรรมสั่งสมคุณงามความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปเหนือสิ่งอื่นใด เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ใครจะใหญ่เกินกรรม”


ขอบคุณข้อมูล จากพี่พันวฤทธิ์ด้วยครับ(luangpordu)

อานิสงส์ของการรักษาศีล 5



อานิสงส์ของการรักษาศีล 5
ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

คำว่า ศีล ได้แก่สภาพเช่นไร ศีลอย่างแท้จริงเป็นไปด้วยความมีสติ รู้สิ่งที่ควรหรือไม่ควร ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม คอยบังคับกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปในขอบเขตของศีลที่เป็นสภาพปกติ ศีลที่เกิดจากการรักษามีสภาพปกติไม่คะนองทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นที่เกลียด นอกจากความปกติงดงามทางกาย วาจา ใจ ของผู้มีศีลว่าเป็นศีล เป็นธรรม
เราควรรักษาศีล 5

1. สิ่งที่มีชีวิต เป็นสิ่งที่มีคุณค่า จึงไม่ควรเบียดเบียน ข่มเหง และทำลายคุณค่าแห่งความเป็นอยู่ของเขาให้ตกไป
2. สิ่งของของใคร ๆ ก็รักและสงวน ไม่ควรทำลาย ฉกลัก ปล้น จี้ เป็นต้นอันเป็นการทำลายสมบัติและทำลายจิตใจกัน
3. ลูก หลาน สามี ภรรยา ใคร ๆ ก็รักสงวนอย่างยิ่ง ไม่ปรารถนาให้ใครมาอาจเอื้อม ล่วงเกิน เป็นการทำลายจิตใจของผู้อื่นอย่างหนัก และเป็นบาปไม่มีประมาณ
4. มุสา การโกหกพกลม เป็นสิ่งทำลายความเชื่อถือของผู้อื่นให้ขาดสะบั้นลงอย่างไม่มีดี แม้เดรัจฉานก็ไม่พอใจคำหลอกลวง จึงไม่ควรโกหกหลอกลวงให้ผู้อื่นเสียหาย
5. สุรา ยาเสพติด เป็นของมึนเมาและให้โทษ ดื่มเข้าไปย่อมทำให้คนดี ๆ กลายเป็นคนบ้าได้ ลดคุณค่าลงโดยลำดับ ผู้ต้องการเป็นคนดีมีสติปกครองตัว อย่างมนุษย์จึงไม่ควรดื่มสุรา เครื่องทำลายสุขภาพทางร่างกายและใจอย่างยิ่ง เป็นการทำลายตัวเอง และผู้อื่นไปด้วยในขณะเดียวกัน

อานิสงส์ของการรักษาศีล 5

1. ทำให้อายุยืน ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
2. ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในความปกครอง มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายมาราวี เบียดเบียนทำลาย
3. ระหว่างลูก หลาน สามี ภริยา อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้คอยล่วงล้ำกล้ำกรายต่างครองกันอยู่ด้วยความเป็นสุข
4. พูดอะไร มีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่จับใจไพเราะ ด้วยสัตย์ด้วยศีล
5. เป็นผู้มีสติปัญญาดีและเฉลียวฉลาด ไม่หลงหน้าหลงหลัง จับโน่นชนนี่เหมือนคนบ้าคนบอหาสติไม่ได้ ผู้มีศีล เป็นผู้ปลูกและส่งเสริมสุขบนหัวใจคนและสัตว์ทั่วโลกให้ มีแต่ความอบอุ่นไม่เป็นระแวงสงสัย ผู้ไม่มีศีลเป็นผู้ทำลายหัวใจคนและสัตว์ ให้ได้รับความทุกข์เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

ศีล นั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่า ผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ เจตนาเป็นตัวศีล เจตนา คือ จิตใจ คนเราถ้าจิตไม่มี ก็ไม่เรียกว่าตน มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่าง ๆ ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงหาหลงขอคนที่หา คนที่ขอ ต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไรยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยาก ยากเข็ญยิ่งไม่มี

กายกับจิต เราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้จากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์แล้ว จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล

ผู้มีศีล ย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีล ย่อมมีความสุข ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์ สมบูรณ์ ไม่อด ไม่อยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์ จิตดวงเดียว เป็นศีลเป็นสมาธิ เป็นปัญญา

ผู้มีศีลแท้ เป็นผู้หมดเวรหมดภัย

ที่มา : คติธรรม คำสอน ของ องค์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร

นรก-สวรรค์ ตามหลักของพระพุทธเจ้า

นรก-สวรรค์ ตามหลักของพระพุทธเจ้า


ทีนี้อยากจะให้รู้เสียเลย ที่เกี่ยวกับ ทวารเหล่านี้นะ
พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า
นรกทางอายตนะ ฉันเห็นแล้ว
สวรรค์ทางอายตนะ ฉันเห็นแล้ว
เมื่อก่อน เขาพูดกัน ถึงเรื่อง นรกอยู่ใต้ดิน
อย่าง ภาพเขียนฝาผนัง นั่นมันคือ นรกทางกาย นรกทางวัตถุ
ก็หมายถึง ร่างกาย ถูกกระทำ อย่างนั้น เป็นนรกใต้ดิน ตามที่ว่า
แล้วสวรรค์ ก็อยู่ข้างบน บนฟ้า ข้างบนโน้น
มีวิมาน มีผู้เสวยสวรรค์ เป็นบุคคล
มีนางฟ้า ส่งเสริม ความสุข เป็นร้อยๆ ร้อยๆ นั้นคือ 
สวรรค์ข้างบน แต่ เป็นเรื่อง ทางกาย หรือ ทางวัตถุทั้งนั้น
นรกกับสวรรค์ ชนิดนั้น เขาพูดกัน อยู่ก่อนพระพุทธเจ้า
เขาสอนกันอยู่ก่อน แต่คุณจับใจความให้ได้ มันเรื่องทางกายนี้
เจ็บปวดทางกายอยู่ใต้ดิน คือนรก
เอร็ดอร่อยทางกายอยู่ข้างบน นั่นแหละสวรรค์
ทีนี้ พระพุทธเจ้าท่านมาตรัสเสียใหม่ว่า
นรกที่อายตนะฉันเห็นแล้ว ก็คือที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ; นี่นรก
เมื่อทำผิด มันร้อนขึ้นมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
มันนรกที่ไม่ใช่วัตถุ ที่ไม่ใช่กาย มันเป็นนามธรรม
เป็นความรู้สึก เป็นทุกข์ร้อน อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
นี่นรกฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้ ฝ่ายวิญญาณ 
ทีนี้ สวรรค์ก็เหมือนกัน เมื่อถูกต้อง เขาก็จะเป็นสุข สนุกสนาน อยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็นั้นแหละ คือ สวรรค์
เป็น สวรรค์ทางวิญญาณ มันคู่กัน อย่างนี้ มันคู่กันมา อย่างนี้
ถ้าเอาวัตถุ เอาร่างกายเป็นหลัก นรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้า
แล้วก็เป็นไปตามเรื่องนั้น
แต่ถ้าเอาเรื่อง นามธรรม ฝ่ายวิญญาณ เป็นหลักแล้ว 
ทั้งนรก ทั้งสวรรค์ มันอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
คือ ความรู้สึก ที่เกิดขึ้น ที่นั่น
พูดอย่างนี้ ชี้ไปยังที่ตัวจริง
พูดอย่างโน้น มันอุปมา เหมือนกับว่า ถูกฆ่า ถูกเผา ถูกอะไรอยู่
หรือว่า เสวยอารมณ์ อันเป็น กามคุณอยู่
นั้นควรจะเป็นอุปมา แต่เขากลับเอามา เป็นตัวจริง
ทีนี้ ผม อธิบายตาม พระบาลี เรื่องตัวจริง ว่า 
ร้อนอยู่ที่ อายตนะทั้ง ๖ นี้ มันเป็นนรก สบายอย่างนี้ เป็นสวรรค์
เขากลับหาว่า นี้อุปมา นี่มัน กลับกัน อย่างนี้ ใครโง่ ใครฉลาด?
คุณก็ไปคิดเอาเอง
แต่ผมยืนยันว่า ตามหลักของพระพุทธเจ้าว่า นี้คือ จริง :นรกที่อยู่ที่อายตนะ ๖ นี้ คือ นรกจริง
สวรรค์ที่อยู่ที่อายตนะ๖ นี้คือ สวรรค์จริง
ท่านจึงตรัสว่า ฉันเห็นแล้วๆ
ก็ไม่ได้พูด ตามที่เขาพูดกัน อยู่ก่อนพระองค์
ที่เขาพูดกัน อยู่ก่อนพระองค์ นั้น เขาพูดกันว่าอย่างนั้น
มันจะเป็น เรื่องคาดคะเน หรือ เป็นเรื่องอะไร ก็ตามใจเขา
เราจะไม่แตะต้อง เราจะไม่ไปคัดค้าน
นี่คุณช่วยจำไว้ข้อหนึ่ง ด้วยนะ แทรกให้ได้ยินว่า
เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น ไม่ตรงกับ ลัทธิของเรา
พระพุทธเจ้า ท่านว่า อย่าไปคัดค้าน แล้วก็ไม่ต้องยอมรับ
เมื่อเราไม่เห็นด้วยเราก็ไม่ยอมรับ แต่แล้ว อย่าไปคัดค้าน
อย่าไปด่าเขา อย่าไปอะไรเขา ก็บอกว่า คุณว่าอย่างนั้น
ก็ถูกของคุณ เราไม่อาจจะยอมรับ แต่เราก็ไม่คัดค้าน
แต่เรามีว่าอย่างนี้ๆ เราก็พูดของเราไป ก็แล้วกัน
นี่ควรจะถือเป็นหลัก กันทุกคน
ถ้าลัทธิอื่น เขามาในแบบอื่น รูปอื่น
เราก็ไม่คัดค้าน เราไม่ยอมรับ
แต่เราบอกว่า ของพุทธศาสนานี้ เป็นอย่างนี้ๆ ก็ว่าไป
ไม่ต้องทะเลาะกัน
ที่มันจะไป ทำลายของเขา ยกตัวของตัว ขึ้นมา
นี้มันจะได้ทะเลาะกัน จะทำอันตรายกัน เพราะหลักธรรมะ นั้นเอง
พระพุทธเจ้าท่านจึงไม่พูด ถึงเรื่องอะไรๆ ที่เขาพูดกันอยู่ก่อน
ในหลายๆเรื่อง รวมทั้งเรื่อง นรก สวรรค์ นี้ด้วย
แต่ท่านพูด ขึ้นมาใหม่ว่า ฉันเห็นแล้ว คือ อย่างนี้ๆ
ฉะนั้น เรามี นรก สวรรค์
ทั้งที่เป็นการกล่าวกันอยู่ตาม ทางวัตถุ ทางกาย
มาสอนใน ประเทศไทย ตั้งแต่ ก่อนพุทธศาสนาเข้ามา
ฝ่ายพุทธศาสนาเข้า
เขาก็ไม่ได้เอาคำของพระพุทธเจ้าข้อนี้มาสอน
ประชาชนก็ยังถือตาม ก่อนโน้นๆ นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า
นรก สวรรค์ อย่างที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสนี้
ไม่ค่อยมีใครสนใจ
พอเอามาพูดเข้า เขาเห็นเป็น เรื่องอุปมา ไปเสียอีก
มันกลับกัน เสียอย่างนี้ 

พระในบ้าน

พระในบ้าน
คุณนายคนหนึ่งมีฐานะดี เป็นคนใจบุญ ชอบทำบุญตักบาตรและสนทนากับพระ บางวันหลังจากตักบาตรแล้วก็จัดอาหารใส่ปิ่นโตหิ้วไปถวายสมเด็จฯ ที่วัดซึ่งอยู่ไม่ไกลบ้านนัก รอจนกระทั่งท่านฉันเสร็จแล้วก็อยู่สนทนาธรรมกับท่านตามสมควรแล้วก็กลับทำอยู่เช่นนี้จนเป็นที่รู้จักคุ้ยเคยของพระเณรในวัด
มาวันหนึ่งหลังจากคุณนายกลับแล้วพระอุปัฏฐากได้กราบเรียนเล่าถวายสมเด็จฯว่า แม่ของคุณนายคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่คุณนายให้ย้ายไปอยู่ห้องคนใช้หลังตึกใหญ่ ส่วนตัวเองกับลูกอยู่บนตึกใหญ่ซึงก็เป็นของแม่ตัวเองอย่างสุขสบาย อาจอายเพื่อนฝูงที่มาพบปะกันประจำว่ามีคนแก่อยู่ในบ้านทำให้ดูเกะกะก็ได้ ที่สำคัญคือไม่ค่อยเอาใจใส่ดูแลแม่เท่าที่ควร ปล่อยให้คนใช้ดูแลตามยถากรรมอดๆ อยากๆ เวลาไปหาแม่ก็พูดจาไม่เพราะ ชอบกระแนะกระแหนแช่งด่าให้ตายวันตายพรุ่ง ผิดกับที่มาพูดที่ยัดซึ่งพูดจาอ่อนหว่านเจ้าคะเจ้าขา คุณนายดูเผินๆเป็นคนใจบุญ แต่ที่บ้านเป็นอย่างนี้ เมื่อพระเล่าจบสมเด็จฯ ก็นิ่ง ไม่พูดจาต่อความอะไร
วันหนึ่งสมเด็จฯไปธุระนอกวัด ขากลับต้องผ่านบ้านคุณนายพอดี ทราบว่าคุณนายพร้อมลูกๆอยู่บ้าน จึงแวะเข้าไปเพื่อเยี่ยมเยียนคุณนายดีใจมากที่สมเด็จฯมาเยี่ยมถึงบ้านถือว่าเป็นมงคล กุลีกุจอต้อนรับพร้อมบอกลูกๆให้มากราบเพื่อขอพร หลังจากไต่ถามสุขทุกข์ตามธรรมเนียมการเยี่ยมแล้วสมเด็จฯจึงถามคุณนายว่า
“พระในบ้านของโยมมีบ้างไหม”
คุณนายได้ยินเข้าก็รีบตอบทันที่ว่า “มีเจ้าคะ ที่บ้านมีห้องพระอยู่ข้างบน มีพระเก่าๆหลายองค์ นิมนต์ขึ้นไปดูก็ได้เจ้าค่ะ”
สมเด็จฯคิดว่าคุณนายยังเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่ จึงยิงคำถามตรงๆ ว่า
“คุณแม่ของคุณนายอยู่ไหม อยากจะเยี่ยมท่านสักหน่อย”
ได้ยินเข้าคุณนายถึงกับเสียวแปลบไปถึงหัวใจ จะตอบไปตามตรงว่าแม่อยู่หลังบ้านก็กลัวท่านจะเดินไปดูและจะตำหนิตนเมื่อเห็นสภาพของแม่ จึงอึกอักพูดหน้าตาเฉยว่าแม่ไม่อยู่ ออกไปเยี่ยมญาติคงอีกนานกว่าจะกลับ สมเด็จฯท่านก็ไม่ต่อความอีกเพราะรู้ความจริงชัดเจนแล้วว่าอะไรเป็นอะไรจึงลากลับวัด ทำให้คุณนายโล่งองไปเป็นกอง
หลายวันต่อมาคุณนายนำอาหารไปถวายสมเด็จฯ ที่วัดแต่เช้าเพื่อกราบขอบพระคุณที่ไปเยี่ยมถึงบ้าน สมเด็จฯก็เลยถามว่า
“พระในบ้านของโยม โยมดูแลเรียบร้อยดีแล้วหรือ” “เรียบร้อยแล้วเจ้าคะ ก่อนจะมานี่ได้ตักบาตรพระหน้าบ้านและนำอาหารไปไหว้ที่ห้องพระเรียบร้อยจึงได้มานี่แหละค่ะ” คุณนายตอบด้วยความเข้าใจผิดเช่นเดิม
“อาตมามิได้หมายถึงพระพุทธรูปในห้องพระ แต่หมายถึงพระที่มีลมหายใจคือแม่ผู้มีพระคุณของโยมน่ะ” สมเด็จฯจึงพูดไปเรื่อยๆ
“คนเราน่ะมีพระที่มีลมหายใจอยู่ในบ้านกันทุกคน คือมีพ่อมีแม่ บางคนเหลือองค์เดียว บางคนเหลือสององค์ ช่างโชคดีที่เหลือให้บูชาในบ้าน ใครเหลือพระกี่องค์ก็ดูแลท่านบ้าง ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยไม่เอาใจใส่ ปล่อยให้อดๆอยากๆ เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรก็ดูแลรักษากันไป ท่านแก่แล้ว จะกินจะใช้หมดเปลืองไปสักเท่าไรเชียว”
สมเด็จฯเว้นระยะนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ “คุณนายก็เหมือนกันขอโทษนะที่ต้องพูดความจริง ทราบว่ามีแม่อยู่ในบ้านด้วย แต่โยมไม่ค่อยสนใจความเป้นอยู่ของท่าน ปล่อยให้ท่านอยู่ในห้องแคบๆ อับทึบอยู่หลังบ้าน ทั้งที่ท่านเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินที่โยมและลูกอยู่กัน โยมอยู่สบายแต่แม่อยู่ลำบาก ไม่สงสารท่านบ้างหรือ และโยมจัดอาหารถวายพระในห้องพระได้ทุกวัน แต่พระในบ้านคือแม่โยมไม่เคยจัดอาหารให้ แม้ที่โยมจัดหามาถวายอาตมานี้ก็จัดอย่างดี ทั้งๆทีอาตมาเป็นพระนอกบ้านโยม อาหารอย่างนี้น่าจะถวายพระในบ้านก่อนเสียด้วยซ้ำไป”
สมเด็จฯหยุดอีกนิดหนึ่ง เห็นคุณนายก้มหน้างุดอยู่ จึงกล่าวสรุปว่า
“อาตมาต้องขอโทษด้วยที่พูดแรงไปในวันนี้ เพระอาตมาคิดมาหลายวันแล้วว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดี สุดท้ายตกลงว่าพูดดีกว่าเพราะสงสารเห็นใจแม่ของโยมและสงสารตัวโยมด้วย ต่อไปลูกหลานของโยมก็จะทำอย่างนี้กับโยมเหมือนกันเพราะเขาได้เห็นตัวอย่างจากโยม ที่พูดมานี่โยมจะโกรธเคืองอาตมาอย่างไรก็ตารมใจเถอะ”
เมื่อสมเด็จฯพูดจบ น้ำตาคุณนายไหลรินอาบแก้มสะอื้นพลางกราบสมเด็จฯ โดยไม่พูดอะไรสักคำ จะโกรธหรือน้อยใจสมเด็จฯก็ไม่ทราบได้ แต่หลังจากนั้นสมเด็จฯ ก็ได้ทราบข่าวว่าคุณนายได้ย้ายแม่เข้ามาอยู่ที่ตึกใหญ่ ดูแลปรนนิบัติด้วยตนเอง เมื่อไม่อยู่ก็กำชับคนใช้หรือลูกๆ ให้ดูแลแทนอย่างดี นับแต่นั้นมาพระในบ้านของคุณนายก็ได้อยู่สุขสบายโดยอาศัยพระนอกวัดไปโปรด.

เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า
พ่อแม่เป็นพระในบ้าน เป็นทั้งพระพรหม เป็นทั้งพระอรหันต์ เป็นพระเทพคือเทวดาของลูก ทั้งเป็นพระประจำวันเกิดครบทุกวันทุกปาง หน้าที่ของลูกที่จะพึงปฏิบัติต่อพระในบ้านคือปรนนิบัติ ดูแล เอาใจใส่ให้ข้าวให้น้ำ รักษายามเจ็บป่วย ถนอมน้ำใจมิให้ชอกช้ำผิดหวัง และที่สำคัญคือมิควรให้ท่านน้ำตาตกเพราะความผิดหวังในเราผู้เป็นลูก บางครั้งเราเที่ยวหาพระนอกบ้านมาบูชาในบ้าน แต่ลืมบูชาพระในบ้าน เราไปทำบุญกับพระในวัด แต่ปล่อยให้พระในบ้านหิวโหย เราสร้างห้องพระไว้ในบ้านอย่างดี แต่ให้พระในบ้านอยู่ในห้องที่แคบและอับทึบ เรากินใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย แต่กับพระในบ้านเรากลับตระหนี่เสียดาย ทั้งที่บางทีเงินทองที่เรากินเราใช้นั้นก็เป็นของท่าน ท่านหาเก็บหอมรอมริบไว้ให้เราแท้ๆ หรือแม้ว่าเราจะหามาได้เอง แต่เราก็ได้อาศัยต้นทุนและเครื่องมือที่พระในบ้านให้มา คืออาศัยมันสมอง สองมือสองเท้า และหูตาที่กำเนิดมาจากท่านและท่านเฝ้าถนอมฟูมฟักมาอย่างดีนับเป็นสิบปียี่สิบปี ถาไม่มีต้นทุนและเครื่องมือที่ท่านให้กำเนิดมา เรามีปัญญาหาเงินทองได้เองหรือ แม้จะมีแขนมีขาเทียม ก็สู้แขนขาที่ได้มาจากพระในบ้านหรือ รู้ได้แค่นี้ สำนึกได้แค่นี้ก็เป็นลูกกตัญญูในระดับหนึ่งแล้ว.




ที่มา หนังสือ กิร ดังได้สดับมา เล่ม ๒

ผู้แต่ง พรธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัญฑิต)

พัฒนาจิตพิชิตความหลง (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)


วิธีฝึกแยกรูปแยกนาม


โยนิโสมนสิการคืออะไร

สวดมนต์แล้วได้อะไร...?


ทุกๆครั้ง ที่เหล่านักบวช นักบุญ ผู้มีศีลมีธรรม 
ท่านได้ตั้งใจไหว้สวดมนต์ด้วยความเคารพ 
ด้วยความเชื่อ ความเลื่อมใสนั้น จะมีผลดี 
หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นแก่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นอย่างไรบ้าง




พระพุทธเจ้าทรงตรัสอยู่เสมอๆ 
ในสมัยที่พระองค์ยังมีพระชนน์ชีพอยู่ พระองค์ตรัสไว้ว่า

“คนเรานั้น หากได้หว่านพืชด้วยเมล็ดพันธุ์พืชชนิดใดลงไปแล้ว เขาย่อมได้รับผล ที่เกิดขึ้นแล้วจากเมล็ดพันธุ์พืชที่หวานไปนั้นแล้วทุกประการ 
จะได้ผลมาก ผลน้อย เกิดดี หรือไม่ดี ก็อยู่ที่เหตุและปัจจัย”
บทพระพุทธมนต์ หรือบทพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงฆคุณ
ที่พวกเราได้น้อมมาสวดกันนั้น

ถ้าหากจะเปรียบ ก็อาจเปรียบได้เช่นกับเมล็ดพันธุ์พืชนานาพันธุ์ 
ซึ่งเมล็ดพืชทั้งหลายเหล่านั้น ล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์พืชที่ดีที่สุด 
เป็นเมล็ดพันธุ์พืชที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด 
ที่พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงประทานไว้ให้แก่พวกเรา 
ซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์พืชที่พระองค์ทรงได้มา 
ในสมัยที่พระองค์ทรงมีพระชนน์ชีพอยู่ 
และก็ได้หว่านโปรยไปทั่วชมพูทวีป 
ก่อให้เกิดความสงบสุขอย่างมากในยุคนั้น 

และในยุคหลังจากที่พระองค์เสด็จเข้าสู่การปรินิพพานแล้วก็ตาม 
ก็ยังมีหมู่พระสงฆ์สาวกได้น้อมนำไปหว่านลงในหลายๆประเทศ 
ในหลายทวีป ก็ก่อให้เกิดผล คือความสงบสุข เกิดขึ้น 
เหมือนสมัยที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่เช่นกัน

พระพุทธมนต์ ก็คือพระธรรมคำสั่งสอน ที่เป็นภาษาบาลี 
มีความหมายทุกตัวอักษร มีความศักดิ์สิทธิ์ทุกตัวอักษร 
จะรู้ได้ และเข้าใจได้ ก็ต้องขึ้นอยู่ที่่ภูมิธรรม 
ภูมิปัญญาของแต่ละคนที่่จะเข้าถึงได้ 


พระพุทธมนต์เป็นบทพระธรรมคำสั่งสอน
ที่เกิดขึ้นแล้วจากพระผู้บริสุทธิ์สูงสุด 
มีพระปัญญาบารมีสูงสุด มีพระมหากรุณาธิคุณสูงสุด 
เป็นผู้ที่ทรงความศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เหนือสรรพสิ่งใดในโลกนี้

เพราะฉะนั้น อะไรที่เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส 
ที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ทุกบท ทุกตอน ทุกคำ 
ล้วนแต่มีความหมาย มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวโดยอัตโนมัติ 

ฉะนั้น หากบุคคลใด ได้นำมาสวด มาสาธยาย 
หรือแม้แต่ได้ยินได้ฟัง ด้วยความเคารพ 
และสวดอย่างถูกตามวิธี ฟังอย่างถูกวิธี 
ก็ย่อมส่งผลบังเกิดผลอย่างแน่นอน ดังต่อไปนี้

๑.ความทุกข์ทั้งหลายที่มีอยู่ในวิถีชีวิต 
จะทุกข์มากหรือจะทุกข์น้อยก็ตาม 
ย่อมจะต้องหมดไป สูญสิ้นไปอย่างแน่นอน 

และเรื่องความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรือง 
ความสำเร็จ ความสมหวัง ความมั่นคง ในชีวิต 
ในหน้าที่การงาน ในการศึกษา ฐานะการเงิน 
ครอบครัว ความรัก สุขภาพ มิตรสหาย 
ย่อมจะต้องมีต้องได้ ต้องสำเร็จ ต้องได้รับผลแต่ในด้านดี 
เป็นไปในทางที่ดีแก่ตนเอง และครอบครัวอย่างแน่นอน 
ตามแต่กำลังศรัทธาความบริสุทธิ์ในขณะที่ได้สวด 
ในขณะที่ได้ฟังนั้น อย่างทันทีที่ได้เริ่มประพฤติ เริ่มปฏิบัติ เริ่มฟัง


๒.เหล่าเทวดาฟ้าดิน ผู้มีตาทิพย์หูทิพย์ 
จะเกิดความรักความเมตตาตามรักษาคุ้มครอง 
ปกป้องเราให้อยู่รอดปลอดภัย 
ให้มีชัยชนะ ให้มีโชค มีลาภ มีความสุขสวัสดีทั้งหลับทั้งตื่น

เหล่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน 
ตลอดถึงสัตว์ทั้งหลาย พวกภูตผี ปีศาจ คนธรรพ์ 
หรืออมนุษย์ทั้งหลายก็ให้ความรัก ความเมตตาตามรักษาเราเช่นกัน

หากเกิดมี ผู้ที่ตั้งตัวตั้งจิตคิดให้ร้าย 
คิดปองร้าย คิดเป็นศัตรู จองเวรจองกรรมต่อเรา 
เขาทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะค่อยๆ เกิดความกลัว 
เกิดเมตตา ยอมรับกลับจิต เปลี่ยนมาเป็นมิตร กับเรา 
หรือก็แพ้ภัยไปเองถ้าขืนทำเช่นนั้นอยู่



๓.หากเรายังมีหนี้เวร หนี้กรรม ที่เคยได้ทำไว้ 
สร้างไว้แต่ในชาติปางก่อน และในชาติปัจจุบันนี้มีอยู่ 
หรือว่าเคราะห์เวร เคราะห์กรรมที่จะเกิดขึ้น 
มีขึ้นแก่เราและครอบครัววงค์ตระกูลมีอยู่ 
ก็ย่อมจะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบาบางจางหาย 
และจากเบา ก็กลายเป็นอโหสิกรรมได้ในที่สุด

อุปสรรค และปัญหาที่หนักหนาสาหัจสากรรจ์ 
ที่แว่ะเวียนมาสู่ชีวิตเรานั้น ก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี 
อย่างง่ายดาย อย่างเหลือเชื่อ อย่างอัศจรรย์

และภัยพิบัติอันตรายต่างๆนานา ที่เกิดจากธรรมชาติก็ตาม
จากภูตผีปีศาจ วิญญาณที่ชั่วร้าย 
และมนต์ดำคุณไสย์ก็ตาม หรือสิ่งชั่วร้าย 
ที่เรียกกันว่าลมพัดลมเพ ก็ตาม ก็ไม่อาจทำอะไรเราได้ 
เกิดความแคล้วคลาดปลอดภัยได้อย่างดี 


๔.จำพวกโรคร้ายทั้งหลาย 
ที่เกิดมาจากบาปเวรบาปกรรมก็ตาม 
และที่เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง 
เช่น จากดินฟ้าอากาศ จากอาหาร 
จากสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษก็ตาม 
ก็เกิดหายได้อย่างเป็นอัศจรรย์ 
แม้แต่โรคที่เรื้อรังหาสาเหตุไม่พบไม่เจอ 
ก็ค่อยๆหาย ก็ค่อยๆดีขึ้น ตามลำดับไป

ยาที่เคยกินแล้วไม่ดี ไม่หาย คนกินแล้วไม่ดี 
ไม่หาย ไม่ได้ผล เรากินก็ดี ก็หาย ไปหาหมอ พบหมอ 
ก็ได้พบแต่หมอที่เก่งที่รู้จริง ช่วยรักษาเราให้หายได้ 
บางครั้งก็ได้ยาดี มากินมารักษา 


๕.เปลี่ยนเหตุการณ์ที่เลวร้าย 
ที่กำลังให้ผลร้ายอยู่ในปัจจุบันนั้น 
ให้กลับกลายเป็นเรื่องที่ดี ที่งาม ที่พอใจ 
สบายอกสบายใจ แก้ไขได้ดั่งใจลุล่วงไปด้วยดี


๖.อันว่าความปรารถนา หรือความต้องการในสิ่งใด สิ่งหนึ่ง 
ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรม 
มีคุณ มีประโยชน์ต่อโลกต่อแผ่นดิน ที่ไม่ผิดศีล 
ไม่ผิดธรรมแล้วไซร้ สิ่งที่เราปรารถนานั้น 
ต้องการนั้น ย่อมจะสำเร็จผลได้ 
อย่างเร็วพลันทันที สมความปรารถนาอย่างแน่นอน 


๘.บุญกุศลก็ตาม คุณธรรมก็ตาม 
ที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็จะเกิดขึ้น 
ที่เกิดขึ้นแล้วก็ตั้งมั่นถาวรไม่เสื่อมคลาย 
ส่วนบาปกรรม อกุศลธรรมความชั่วทั้งหลายที่ยังไม่เกิด 
ก็ไม่มีช่องทางที่จะเกิดขึ้นได้ และที่เกิดขึ้นแล้ว
ก็ย่อมจะเสื่อมไป ดับไป 


๙.สภาพจิตที่หงุดหงิดคิดมาก 
เศร้าหมองกระวนกระวาย แบบชนิดที่ร้อนอกร้อนใจ 
กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ก็ย่อมจะสงบระงับดับไป 
กลับสภาพจิตให้เบิกบาน ให้แจ่มใส เกิดความเย็นอก เย็นใจ 
มีชีวิตที่เป็นไปในความสุขสดชื่นอยู่ตลอดเวลา 


๑๐. ยามที่นอนหลับ ก็จะหลับอย่างมีความสุข 
ไม่มีผันร้าย ฝันก็ฝันแต่เรื่องที่ดี ไม่ฝันในสิ่งที่ไร้สาระ 
ส่วนมากมักจะไม่นอนฝัน ครั้นพอตื่นขึ้นมา
ก็จะมีความรู้สึกมีความสุข สดชื่น พบแต่สิ่งที่เป็นมงคลในชีวิต

ยืนเดินนั่งนอนที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นก็ดี มีมงคลเกิดขึ้น 


๑๑.ย่อมไม่เป็นคนที่ประมาทขาดสติในการดำเนินชีวิต ใช้ชีวิตเป็น 
รู้เห็นและเข้าใจในบาปบุญ คุณโทษ ประโยชน์ 
มิใช่ประโยชน์ รู้จักการควบคุมจิต หักห้ามใจ ไ
ม่ให้ทำ ไม่ให้อยาก ไม่เป็นคนประเภทที่รู้อยู่ว่าผิด
แต่ก็ยังทำอยู่ และก็ทำแล้ว ทำอีก 


๑๒. จิตย่อมมีพลัง 
และย่อมเป็นจิตที่ควรแก่การทำสมาธิ 
และเวลาจะทำสมาธิ จิตก็สงบได้เร็ว 


๑๓. ไม่ตายโหง ตายห่า ไม่บ้าตาย 
ตายด้วยความสงบ ตายในบุญ ตายกุศล 
ตายแล้วไม่ทำให้คนเป็นเดือดร้อน 
ครั้นตายแล้วก็ได้ไปสวรรค์ ชั้นพรหมเลยทีเดียว 



การไหว้พระสวดมนต์ ก็มีผล มีอานิสงส์เช่นนี้ 
พระพุทธเจ้าทรงตรัสยืนยันไว้หลายที่
หลายแห่งในพระไตรปิฏก และบุคคลที่เขาได้ปฏิบัติมาแล้ว 
ก็เกิดผลตามที่กล่าวมาทุกประการ


ชีวิตของคนที่ชอบสวดมนต์ กับ ไม่ชอบสวดมนต์ ย่อมแตกต่างกัน


เมื่อรู้ถึงคุณค่า รู้ถึงราคา แห่งการไหว้พระสวดมนต์แล้ว 
ยังไม่เริ่มทำอีกก็จนใจ จนปัญญาที่จะช่วยอะไรได้

สมาธิคืออะไร


เมื่อกล่าวถึงสมาธิ(Meditation) ต้องเข้าใจในเบื้องต้นว่า สมาธิมิใช่เรื่องของฤๅษีชีไพร หรือมิใช่เป็นเรื่องที่ประพฤติปฏิบัติได้เฉพาะผู้ที่เป็นนักบวชเท่านั้น แต่สมาธิเป็นเรื่องของการฝึกฝนอบรมจิตใจ และเป็นการพัฒนาจิตใจให้มีความมั่นคง ตั้งมั่น และทำให้มีคุณภาพทางจิตใจที่ดีขึ้น ซึ่งในทางพระพุทธศาสนานั้น สมาธิสามารถประพฤติปฏิบัติได้ ทั้งเพื่อประโยชน์ต่อความมีชีวิตที่อยู่เป็นสุขในเพศภาวะของผู้ที่ยังครองเรือน และยังเป็นการปฏิบัติเพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้นสำหรับผู้ที่เป็นนักบวชอีกด้วย

    แต่อย่างไรก็ตาม สมาธิ ถือเป็นเรื่องสากล กล่าวคือ มิใช่เฉพาะพุทธศาสนิกชนเท่านั้นที่จะสามารถปฏิบัติสมาธิได้ แม้ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นก็สามารถปฏิบัติสมาธิได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ การฝึกสมาธิจะเน้นให้ความสำคัญของการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เพราะนอกจากจะทำให้ผู้ปฏิบัติเห็นผลด้วยตนเองแล้ว หากมีข้อสงสัยในเชิงปฏิบัติ ก็สามารถที่จะสอบถามจากผู้รู้ผู้ชำนาญได้อย่างตรงเป้าหมาย หรือตรงต่อประสบการณ์ที่ตนเองได้ปฏิบัติมา และถึงแม้จะมีการอธิบายรายละเอียดความรู้ของสมาธิในเชิงทฤษฎี แต่กระนั้นก็มิอาจที่จะละเลยสมาธิในเชิงปฏิบัติได้


ความหมายของสมาธิ

    การอธิบายความหมายของสมาธิ สามารถอธิบายได้ทั้งในเชิงลักษณะผลของสมาธิที่เกิดขึ้น และอธิบายในลักษณะในเชิงการปฏิบัติ เช่น สมาธิ คือ ความสงบ สบาย และความรู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่งที่มนุษย์สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่พระพุทธศาสนากำหนดเอาไว้เป็นข้อควรปฏิบัติ เพื่อการดำรงชีวิตประจำวันอย่างเป็นสุข ไม่ประมาท เต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ และปัญญา อันเป็นเรื่องไม่เหลือวิสัย ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ง่ายๆ

ความหมายในเชิงลักษณะผลของสมาธิ

    สมาธิ คือ อาการที่ใจตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว อย่างต่อเนื่อง หรือ อาการที่ใจหยุดนิ่งแน่วแน่ ไม่ซัดส่ายไปมา เป็นอาการที่ใจสงบรวมเป็นหนึ่งแน่วแน่ มีแต่ความบริสุทธิ์ผ่องใส สว่างไสวผุดขึ้นในใจ จนกระทั่งสามารถเห็นความบริสุทธิ์นั้นด้วยใจตนเอง อันจะก่อให้เกิดทั้งกำลังใจ กำลังขวัญ กำลังปัญญา และความสุขแก่ผู้ปฏิบัติในเวลาเดียวกัน1

ความหมายในเชิงลักษณะการปฎิบัติสมาธิ

    กล่าวอีกนัยหนึ่งในเชิงลักษณะการปฏิบัติ สมาธิ แปลว่า ความตั้งมั่นของจิต หรือภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนด หรือการที่จิตกำหนดแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน

ความหมายในเชิงเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกาย

    พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ได้ให้ความหมายของการทำสมาธิภาวนาในเชิงของการปฏิบัติว่า การทำสมาธิก็คือการทำใจของเราให้หยุดนิ่ง อยู่ภายในกลางกายของเรา กล่าวคือ การดึงใจกลับเข้ามาสู่ภายใน อยู่กับเนื้อกับตัวของเรา ในอารมณ์ที่สบาย เป็นการดึงใจที่ซัดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ ในความคิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว ธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน เรื่องสนุกสนานเฮฮา หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ก็ตาม ดึงกลับมาไว้อยู่กับตัวของเราให้มามีอารมณ์เดียว ใจเดียว ซึ่งท่านได้อ้างอิงถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ซึ่งได้เคยอธิบายเรื่องการทำสมาธิว่า คือการทำให้ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ รวมหยุดเป็นจุดเดียว หรือให้รวมหยุดเป็นจุดเดียวในอารมณ์ที่สบายที่กลางกายของเรา ซึ่งวิธีที่จะทำให้เกิดสมาธิเพื่อการเข้าถึงธรรมกายก็คือฝึกใจให้หยุดให้ นิ่งอยู่ภายใน